-
การระบุตัว “คนนอกกฎหมาย”หอสังเกตการณ์ 1990 | กุมภาพันธ์ 1
-
-
ที่มาของคนนอกกฎหมาย
4. ใครเป็นตัวการตั้งคนนอกกฎหมายขึ้นมาและให้การสนับสนุน?
4 ใครทำให้มีคนนอกกฎหมายขึ้นมาทั้งให้การสนับสนุน? เปาโลตอบ: “การอยู่ของคนนอกกฎหมายนั้นเป็นไปตามการดำเนินงานของซาตาน พร้อมกับการอิทธิฤทธิ์ทุกอย่าง และสัญลักษณ์ปลอม และเหตุการณ์ประหลาด และพร้อมด้วยอุบายหลอกลวงอันไม่เป็นธรรมทุกอย่างสำหรับคนเหล่านั้นที่จะพินาศ เป็นการตอบสนองเนื่องจากเขาไม่ยอมรับความรักต่อความจริงเพื่อเขาจะรอดได้.” (2 เธซะโลนิเก 2:9, 10, ล.ม.) ดังนั้นซาตานเป็นพ่อและเป็นผู้สนับสนุนคนนอกกฎหมาย. ซาตานเป็นตัวการต่อต้านพระยะโฮวา ต่อต้านพระประสงค์และพลไพร่ของพระองค์ฉันใด คนนอกกฎหมายก็ย่อมทำฉันนั้น ไม่ว่าเขาจะรู้สำนึกหรือไม่ก็ตาม.
5. คนนอกกฎหมายและพรรคพวกผู้ติดตามเหล่านั้นจะประสบอะไร?
5 ผู้คนที่เป็นพรรคพวกของคนนอกกฎหมายนี้จะประสบจุดจบเหมือนซาตาน—คือความพินาศ: “คนนอกกฎหมายจะถูกเปิดเผย ผู้ซึ่งพระเยซูเจ้าจะทรงกำจัดเสีย . . . และจะทรงผลาญให้สิ้นสูญไปโดยการสำแดงการประทับของพระองค์.” (2 เธซะโลนิเก 2:8, ล.ม.) เวลาสำหรับความพินาศของคนนอกกฎหมายและพรรคพวกที่สนับสนุน (“คนเหล่านั้นที่จะพินาศ”) จะมีมาในไม่ช้า “เมื่อพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ปรากฏพร้อมหมู่ทูตสวรรค์ของพระองค์ผู้มีฤทธิ์ดังเปลวเพลิง และจะทรงสนองโทษแก่คนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และไม่เชื่อฟังกิตติคุณของพระเยซูเจ้าของเรา. คนเหล่านั้นจะรับโทษคือความพินาศนิรันดร์.”—2 เธซะโลนิเก 1:6-9.
-
-
การระบุตัว “คนนอกกฎหมาย”หอสังเกตการณ์ 1990 | กุมภาพันธ์ 1
-
-
การระบุตัวคนนอกกฎหมาย
7. ทำไมเราจึงสรุปว่า เปาโลไม่ได้พูดถึงคนหนึ่งคนใดเป็นรายบุคคล และคนนอกกฎหมาย ณ ที่นี้หมายถึงอะไร?
7 เปาโลพูดถึงบุคคลคนเดียวโดยเฉพาะไหม? ไม่ใช่ เพราะท่านแถลงว่า “คน” นี้ได้ปรากฏตัวแล้วในสมัยเปาโล และยังจะดำรงสภาวะจนกว่าพระยะโฮวาได้ทำลายเขาในคราวอวสานแห่งระบบนี้. ฉะนั้น เขาจึงอยู่เรื่อยมาตลอดหลายศตวรรษ. ปรากฏชัดว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนมีชีวิตยืนนานขนาดนั้น. ดังนั้น คำว่า “คนนอกกฎหมาย” จึงต้องหมายถึงคณะบุคคลหรือชั้นบุคคล.
8. คนนอกกฎหมายได้แก่ใคร และมีลักษณะเด่นอะไรบ้างพอจะชี้ตัวได้?
8 คนเหล่านี้ได้แก่ใคร? พยานหลักฐานแสดงว่า เขาเป็นกลุ่มนักศาสนาแห่งคริสต์ศาสนจักรที่ยโส ทะเยอทะยานซึ่งตลอดหลายศตวรรษได้ตั้งตัวเป็นกฎหมายเสียเอง. เรื่องนี้เห็นได้โดยข้อเท็จจริงที่ว่า มีลัทธินิกายต่าง ๆ นับพัน ๆ นิกายในคริสต์ศาสนจักร แต่ละนิกายก็มีนักเทศน์นักบวช กระนั้นต่างก็ขัดแย้งกันในบางแง่เกี่ยวกับหลักคำสอน และกิจปฏิบัติ. สภาพการแตกแยกเช่นนี้เป็นหลักฐานชัดแจ้งว่า เขาไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของพระเจ้า. เขาไม่ได้เป็นมาจากพระเจ้า. (เทียบกับมีคา 2:12; มาระโก 3:24; โรม 16:17; 1 โกรินโธ 1:10) สิ่งที่เหมือนกันในบรรดาศาสนาเหล่านั้นก็คือ เขาไม่ยึดอยู่กับหลักคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล โดยได้ละเมิดกฎที่ว่า “อย่าเลยขอบเขตสิ่งที่เขียนไว้.”—1 โกรินโธ 4:6, ล.ม.; โปรดดูที่มัดธาย 15:3, 9, 14 ด้วย.
9. คนนอกกฎหมายได้นำข้อเชื่ออะไรบ้างอันไม่ถูกหลักคัมภีร์เข้ามาแทนสัจธรรมของคัมภีร์ไบเบิล?
9 ฉะนั้น คนนอกกฎหมายผู้นี้จึงได้แก่กลุ่มบุคคลประกอบด้วยนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักร. ทุกคนที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ไม่ว่าสันตะปาปา บาทหลวง หรือนักเทศน์ฝ่ายโปรเตสแตนท์ ต่างก็มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อบาปของอาณาจักรคริสเตียน. พวกเขารับเอาความเท็จแบบนอกรีตเข้ามาแทนความจริงของพระเจ้า เขาสอนสิ่งซึ่งไม่เป็นตามหลักคัมภีร์เช่น จิตวิญญาณมนุษย์เป็นอมตะ ไฟนรก ไฟชำระบาป และตรีเอกานุภาพ. คนเหล่านี้ไม่ต่างจากพวกผู้นำศาสนาซึ่งพระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจากมารซึ่งเป็นพ่อของท่าน และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อของท่าน. . . . มันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา.” (โยฮัน 8:44) อนึ่ง กิจปฏิบัติของเขาเผยให้เห็นว่า เขาเป็นคนนอกกฎหมาย เพราะเขามีส่วนในกิจกรรมต่าง ๆ อันขัดกับกฎหมายของพระเจ้า. พระเยซูตรัสแก่คนพรรค์นั้นว่า “เจ้าทั้งหลายผู้ประพฤติล่วงพระบัญญัติ จงถอยไปจากเรา.”—มัดธาย 7:21-23.
-