บิดามารดา จงปีติยินดีในบุตรของคุณ
“บิดาและมารดาของเจ้าจะปีติยินดี.”—สุภาษิต 23:25, ล.ม.
1. อะไรจะทำให้บิดามารดารู้สึกยินดีในบุตรของพวกเขา?
ช่างดีสักเพียงไรที่เห็นต้นอ่อนเติบโตขึ้นกลายเป็นต้นไม้ที่สูงเด่นเป็นสง่าซึ่งให้ทั้งความสวยงามและร่มเงา—โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนปลูกและดูแลมัน! ในทำนองเดียวกัน บิดามารดาซึ่งดูแลเอาใจใส่บุตรที่เติบโตขึ้นมาให้เป็นผู้รับใช้ที่อาวุโสของพระเจ้าก็มีความชื่นใจยินดีในตัวพวกเขาอย่างยิ่ง ดังที่สุภาษิตของคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า “บิดาของคนชอบธรรมจะชื่นใจยินดีมาก; และผู้ที่ให้กำเนิดบุตรที่มีปัญญาจะมีความชื่นชมยินดีในบุตรนั้น. จงทำให้บิดามารดาของเจ้ามีความยินดี, และจงทำให้มารดาที่คลอดเจ้ามานั้นมีใจชื่นบาน.”—สุภาษิต 23:24, 25.
2, 3. (ก) บิดามารดาจะเลี่ยงความโศกเศร้าและความขมขื่นได้อย่างไร? (ข) ทั้งต้นอ่อนและเด็ก ๆ จำเป็นต้องได้รับอะไรเพื่อจะกลายเป็นแหล่งแห่งความยินดี?
2 กระนั้น เด็กไม่ได้กลายเป็นคน “ชอบธรรม” และ “มีปัญญา” โดยอัตโนมัติ. จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่คนหนุ่มสาวจะไม่กลายเป็นต้นเหตุของ “ความเศร้าโศก” และ “ความขื่นขม” เช่นเดียวกับที่ต้องลงมือลงแรงในการบำรุงเลี้ยงต้นอ่อนให้เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ที่สูงสง่า. (สุภาษิต 17:21, 25) ยกตัวอย่าง ไม้หลักยึดลำต้นสามารถทำให้ต้นอ่อนเติบโตตั้งตรงและแข็งแรง. การให้น้ำประจำสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญ และต้นอ่อนอาจจำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากแมลงศัตรูพืช. ประการท้ายสุด การตัดแต่งกิ่งช่วยให้ต้นไม้มีรูปทรงสวยงาม.
3 พระคำของพระเจ้าเผยให้เห็นว่า เด็ก ๆ จำเป็นต้องได้รับสิ่งต่าง ๆ อย่างเช่น การฝึกอบรมตามแนวทางของพระเจ้า, ความชุ่มฉ่ำด้วยน้ำแห่งความจริงของคัมภีร์ไบเบิล, การปกป้องจากความเสื่อมเสียทางศีลธรรม, และการตีสอนด้วยความรักเพื่อปรับแต่งและขจัดลักษณะนิสัยที่ไม่พึงปรารถนาออกไป. เพื่อจะสนองความจำเป็นเหล่านี้ ผู้เป็นบิดาได้รับการกระตุ้นเตือนเป็นพิเศษให้อบรมบุตรของตน “ด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.” (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) นี่หมายรวมถึงอะไรบ้าง?
การเน้นหนักที่พระคำของพระเจ้า
4. หน้าที่รับผิดชอบอะไรที่บิดามารดามีต่อบุตร และอะไรที่นับว่าจำเป็นก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำให้สำเร็จ?
4 “การปรับความคิดจิตใจของพระยะโฮวา” หมายถึงการปรับความคิดของเราให้สอดคล้องกับพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา. ดังนั้น บิดามารดาต้องค่อย ๆ ป้อนความคิดของพระยะโฮวาในเรื่องต่าง ๆ เข้าไว้ในความคิดจิตใจของลูกน้อย. และพวกเขาต้องเลียนแบบพระเจ้าในการตีสอนด้วยความเมตตา หรือการอบรมแก้ไข. (บทเพลงสรรเสริญ 103:10, 11; สุภาษิต 3:11, 12) แต่ก่อนที่บิดามารดาจะสามารถทำเช่นนี้ พวกเขาเองต้องซึมซับเอาพระคำของพระยะโฮวา ดังที่ผู้พยากรณ์โมเซตักเตือนชาวยิศราเอลโบราณว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ [จากพระยะโฮวา], ซึ่งเราสั่งไว้แก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้, ก็ให้ตั้งอยู่ในใจของเจ้าทั้งหลาย.”—พระบัญญัติ 6:6.
5. เมื่อไรและโดยวิธีใดที่บิดามารดาชาวยิศราเอลต้องสอนบุตรของตน และหมายความเช่นไรที่ให้ “ปลูกฝัง”?
5 การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ, การคิดรำพึง, และการอธิษฐานช่วยให้บิดามารดาพร้อมจะทำสิ่งที่โมเซได้สั่งถัดจากนั้นที่ว่า “จงอุตส่าห์สั่งสอน [“ปลูกฝัง,” ล.ม.] บุตรทั้งหลายของเจ้าด้วย [พระคำของพระยะโฮวา], และเมื่อเจ้าทั้งหลายจะนั่งอยู่ในเรือน หรือเดินในหนทาง, หรือนอนลง, และตื่นขึ้น.” คำภาษาฮีบรูที่ได้รับการแปลว่า “ปลูกฝัง” หมายถึง “พูดซ้ำ,” “พูดแล้วพูดอีก,” “ประทับลงอย่างแจ่มชัด.” โปรดสังเกตวิธีที่โมเซเน้นต่อไปถึงความจำเป็นต้องรักษาให้พระคำของพระยะโฮวามาก่อนสิ่งอื่นใด: “[เจ้าต้อง] เอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของเจ้าเป็นของสำคัญ, และจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของเจ้าทั้งหลาย. จงเขียนถ้อยคำเหล่านี้ไว้ที่เสาเรือนของเจ้า, และที่ประตูเมืองทั้งหลายของเจ้า.” เห็นได้ชัดว่า พระยะโฮวาทรงเรียกร้องให้บิดามารดาเอาใจใส่บุตรของตนเป็นประจำและด้วยความรัก.—พระบัญญัติ 6:7-9.
6. บิดามารดาต้องปลูกฝังอะไรไว้ในตัวบุตร และจะเกิดประโยชน์เช่นไร?
6 “ถ้อยคำเหล่านี้” ของพระยะโฮวาที่บิดามารดาต้องปลูกฝังลงในตัวบุตรของตนเองได้แก่อะไร? โมเซเพิ่งได้กล่าวซ้ำข้อความที่โดยทั่วไปเรียกกันว่าพระบัญญัติสิบประการ ซึ่งก็รวมถึงพระบัญชาห้ามฆ่าคน, ห้ามเล่นชู้, ห้ามลักขโมย, ห้ามเป็นพยานเท็จ, และอย่าโลภ. ข้อเรียกร้องทางศีลธรรมเหล่านี้ รวมทั้งพระบัญชาที่ให้ “รักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจ, สุดจิตต์ของเจ้า, และด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า” เป็นสิ่งที่บิดามารดาชาวยิศราเอลต้องปลูกฝังลงในตัวบุตรน้อยของพวกเขาเป็นพิเศษ. (พระบัญญัติ 5:6-21; 6:1-5) คุณเห็นด้วยมิใช่หรือว่า นี่เป็นการสอนแบบที่เด็ก ๆ จำเป็นต้องได้รับในทุกวันนี้?
7. (ก) คัมภีร์ไบเบิลเปรียบเด็กกับอะไร? (ข) ตอนนี้เราจะพิจารณาอะไร?
7 บิดาชาวยิศราเอลได้รับแจ้งว่า “ภรรยาของท่านที่อยู่ภายในเรือนของท่านจะเป็นดุจเถาองุ่นที่เกิดผลดก; บุตรชายหญิงของท่านจะล้อมรอบโต๊ะของท่านดุจต้นมะกอกเทศรุ่น ๆ.” (บทเพลงสรรเสริญ 128:3) กระนั้น เพื่อบิดามารดาจะมีความชื่นใจยินดีใน “ต้นอ่อน” ของพวกเขาแทนที่จะประสบความทุกข์โศก พวกเขาต้องสนใจเป็นส่วนตัวในบุตรของตนทุกวันไป. (สุภาษิต 10:1; 13:24; 29:15, 17) ให้เรามาพิจารณาวิธีที่บิดามารดาสามารถให้การฝึกอบรม, รดน้ำฝ่ายวิญญาณ, ปกป้อง, และตีสอนด้วยความรักแก่บุตรของตนในวิธีที่พวกเขาจะประสบความยินดีอย่างแท้จริงในตัวบุตร.
การฝึกอบรมตั้งแต่ยังเป็นทารก
8. (ก) ใครที่ทำหน้าที่เป็นไม้หลักยึดต้นสำหรับติโมเธียว? (ข) การฝึกอบรมเริ่มเมื่อไร และผลเป็นเช่นไร?
8 ขอพิจารณาดูติโมเธียวผู้ได้รับการสนับสนุนจากแม่และยายของท่าน ซึ่งเปรียบได้กับไม้หลักยึดต้นอ่อนที่ปักแน่นอยู่ในดิน. เนื่องจากบิดาของติโมเธียวเป็นชาวกรีกและดูเหมือนว่าไม่เป็นผู้เชื่อถือพระเจ้า ดังนั้นจึงเป็นยูนิเกมารดาของท่านที่เป็นชาวยิว และโลอียายของท่าน ที่ได้ฝึกสอนเด็กชายคนนี้ ‘ตั้งแต่เป็นทารกมา ด้วยคำจารึกอันศักดิ์สิทธิ์.’ (2 ติโมเธียว 1:5; 3:15, ล.ม.; กิจการ 16:1) ความหมั่นเพียรของทั้งสองในการสั่งสอนติโมเธียวถึง “การอัศจรรย์ของ [พระยะโฮวา] ที่ได้ทรงกระทำ”—ตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกเสียด้วยซ้ำ—ได้รับบำเหน็จอย่างบริบูรณ์. (บทเพลงสรรเสริญ 78:1, 3, 4) ติโมเธียวได้มาเป็นมิชชันนารีคนหนึ่งที่ไปยังดินแดนห่างไกล อาจจะในช่วงที่ท่านยังเป็นวัยรุ่นอยู่ และท่านมีบทบาทเด่นทีเดียวในการเสริมกำลังประชาคมคริสเตียนสมัยแรกเริ่มในที่ต่าง ๆ.—กิจการ 16:2-5; 1 โกรินโธ 4:17; ฟิลิปปอย 2:19-23.
9. คนหนุ่มสาวจะเรียนรู้เพื่อหลีกเลี่ยงบ่วงแร้วแห่งวัตถุนิยมได้โดยวิธีใด?
9 ท่านผู้เป็นบิดามารดา คุณเป็นไม้หลักยึดต้นอ่อนแบบไหน? อย่างเช่น คุณต้องการให้บุตรของคุณพัฒนาทัศนะที่สมดุลในเรื่องสิ่งฝ่ายวัตถุไหม? ถ้าอย่างนั้น คุณต้องวางตัวอย่างที่ถูกต้องโดยไม่ติดตามสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ หรือสิ่งอื่นใดที่คุณไม่จำเป็นต้องมีอย่างแท้จริง. หากคุณเลือกติดตามผลประโยชน์ฝ่ายวัตถุ อย่าได้แปลกใจเมื่อเห็นลูก ๆ ลอกแบบเอาจากคุณ. (มัดธาย 6:24; 1 ติโมเธียว 6:9, 10) แท้จริง ถ้าไม้หลักยึดต้นนั้นไม่ตรง ต้นอ่อนจะขึ้นตรงอย่างไรได้?
10. บิดามารดาควรแสวงการชี้นำจากผู้ใดเสมอ และพวกเขาควรมีเจตคติเช่นไร?
10 บิดามารดาที่ประสบความยินดีในบุตรของตนจะแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อฝึกสอนพวกเขา โดยพิจารณาอยู่เสมอว่า อะไรที่เป็นประโยชน์ที่สุดทางฝ่ายวิญญาณสำหรับบุตรของเขา. มารดาคนหนึ่งที่มีบุตรสี่คนเล่าว่า “แม้แต่ก่อนที่ลูก ๆ ของเราจะเกิดมา เราอธิษฐานขอพระยะโฮวาเป็นประจำให้ช่วยเราเป็นพ่อแม่ที่ดี, ให้ได้รับการนำทางจากพระคำของพระองค์, และให้ใช้พระคำนั้นในชีวิตประจำวันของเรา.” เธอกล่าวอีกด้วยว่า “วลีที่ว่า ‘ขอให้พระยะโฮวามาเป็นอันดับแรก’ ไม่ใช่เพียงวลีที่คุ้นหูเท่านั้น หากแต่เป็นวิถีชีวิตของเราเลยทีเดียว.”—วินิจฉัย 13:8.
การรด “น้ำ” เป็นประจำ
11. ทั้งต้นอ่อนและเด็กต้องการอะไรเพื่อการเจริญเติบโต?
11 ต้นอ่อนต้องการน้ำมาบำรุงเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้ว่าต้นไม้ที่อยู่ริมน้ำเติบโตได้ดีสักเพียงไร. (เทียบกับวิวรณ์ 22:1, 2.) เด็กเล็กก็เช่นกันจะวัฒนาขึ้นทางฝ่ายวิญญาณ หากพวกเขาได้รับน้ำแห่งความจริงในคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ. แต่บิดามารดาจำเป็นต้องคำนึงถึงความยาวของช่วงเวลาที่เด็กจะสามารถจดจ่อในการเรียน. บางทีการสอนโดยใช้เวลาช่วงสั้น ๆ แต่สอนบ่อยครั้งอาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการสอนไม่กี่ครั้ง ครั้งละนาน ๆ. อย่าดูเบาคุณค่าการสอนโดยใช้เวลาสั้น ๆ เช่นนั้น. การใช้เวลาร่วมกันนั้นสำคัญเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตร อันเป็นความใกล้ชิดซึ่งพระคัมภีร์สนับสนุนครั้งแล้วครั้งเล่า.—พระบัญญัติ 6:6-9; 11:18-21; สุภาษิต 22:6.
12. การอธิษฐานกับบุตรที่ยังเล็กอยู่มีคุณประโยชน์เช่นไร?
12 ช่วงเวลาหนึ่งที่อาจใช้เวลาด้วยกันกับบุตรน้อยได้แก่ในตอนสิ้นสุดวัน. วัยรุ่นคนหนึ่งจำได้ว่า “คุณพ่อคุณแม่ดิฉันจะนั่งที่ปลายเตียงของเราทุกคืนและฟังเราอธิษฐาน.” เกี่ยวกับคุณค่าในการทำเช่นนี้ อีกคนหนึ่งบอกว่า “นั่นทำให้ดิฉันมีนิสัยอธิษฐานถึงพระยะโฮวาทุกคืนก่อนเข้านอน.” เมื่อเด็กได้ยินบิดามารดาของตนพูดเกี่ยวกับพระยะโฮวาและอธิษฐานถึงพระองค์ทุกวัน พระองค์จึงเป็นบุคคลจริง ๆ สำหรับเขา. ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวว่า “ผมสามารถหลับตาอธิษฐานถึงพระยะโฮวาและเห็นบุคคลแบบคุณปู่. คุณพ่อคุณแม่ช่วยผมให้เห็นว่า พระยะโฮวาทรงมีส่วนอยู่ด้วยในทุกสิ่งที่เราทำและพูด.”
13. ช่วงการสั่งสอนตามปกติอาจรวมอะไรเข้าไว้ด้วย?
13 เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ ซึมซับน้ำแห่งความจริงของคัมภีร์ไบเบิล บิดามารดาอาจรวมเอาหลายสิ่งในภาคปฏิบัติเข้าไว้ด้วยในช่วงการสอนเป็นประจำ. บิดาและมารดาของเด็กสองคนที่กำลังจะเป็นวัยรุ่นกล่าวว่า “เด็กทั้งสองเริ่มรับการฝึกให้นั่งเงียบ ๆ ในหอประชุมตั้งแต่ช่วงไม่กี่สัปดาห์แรกของชีวิต.” บิดาคนหนึ่งอธิบายถึงสิ่งที่ครอบครัวเขาได้ทำโดยบอกว่า “เราเขียนชื่อพระธรรมทุกเล่มของคัมภีร์ไบเบิลบนบัตรรายชื่อ แล้วฝึกจัดบัตรเหล่านี้ให้เรียงตามลำดับ โดยที่พวกเราทุกคนผลัดกันจัด. พวกเด็ก ๆ เฝ้าคอยอยู่เสมอให้ถึงเวลานี้.” หลายครอบครัวจัดให้มีการสอนสั้น ๆ ช่วงก่อนหรือหลังอาหาร. บิดาคนหนึ่งกล่าวว่า “ตอนรับประทานอาหารมื้อเย็นเป็นเวลาที่ดีสำหรับพวกเราในการพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวัน.”
14. (ก) กิจกรรมอะไรที่ให้บำเหน็จทางฝ่ายวิญญาณซึ่งอาจทำร่วมกับลูกน้อย? (ข) เด็กมีศักยภาพเช่นไรในการเรียนรู้?
14 เด็กเล็กยังชอบฟังการอ่านเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้มโนภาพชัดเจนจากหนังสือของฉันเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ด้วย.a คู่สมรสคู่หนึ่งบอกว่า “เมื่อเด็ก ๆ ยังเล็กอยู่ เราจะพิจารณาเนื้อหาของบทหนึ่งในหนังสือของฉัน แล้วก็ให้พวกเขาแต่งตัวและแสดงส่วนต่าง ๆ ในบทนั้นในแบบละครสั้น. พวกเขาชอบทำอย่างนี้ และมักจะขอแสดงมากกว่าหนึ่งบทในแต่ละครั้ง.” อย่าประเมินค่าความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กต่ำไป! เด็กวัยสี่ขวบหลายคนจำเรื่องราวทั้งบทของหนังสือของฉัน ได้หลายบท และเรียนรู้จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วยซ้ำ! เยาวชนคนหนึ่งเล่าว่า ตอนที่เธออายุได้ประมาณสามขวบครึ่ง เธอออกเสียงคำว่า “คำพิพากษาตัดสิน” ผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่บิดาเธอให้กำลังใจเธอให้พยายามต่อไปในการหัดออกเสียงให้ถูก.
15. อาจรวมเรื่องอะไรเข้าไว้ในการพิจารณากับเด็ก และมีพยานหลักฐานอะไรที่แสดงว่า การพิจารณาเช่นนั้นมีคุณค่า?
15 อาจใช้เวลาด้วยกันกับลูกเล็ก ๆ ของคุณเพื่อเตรียมพวกเขามีส่วนร่วมในการแบ่งปันน้ำแห่งความจริงกับคนอื่น ๆ เช่น โดยการออกความคิดเห็น ณ การประชุมต่าง ๆ. (เฮ็บราย 10:24, 25) เยาวชนคนหนึ่งระลึกถึงความหลังดังนี้: “ในระหว่างที่เราซักซ้อมกัน ดิฉันต้องออกความเห็นด้วยคำพูดของตัวเอง. ดิฉันไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านตอบโดยที่ไม่มีความเข้าใจ.” นอกจากนี้ เด็ก ๆ สามารถได้รับการฝึกให้มีส่วนร่วมในงานประกาศในเขตทำงานอย่างมีความหมายด้วย. สตรีคนหนึ่งซึ่งได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดาที่ยำเกรงพระเจ้าอธิบายว่า “เราไม่เคยเป็นเพียงผู้ติดสอยห้อยตามที่ไปกับบิดามารดาในงานของท่าน. เรารู้ว่าเรามีส่วนร่วมด้วย แม้ว่าอาจจะเป็นเพียงการกดกริ่งที่ประตูบ้านและการแจกใบเชิญ. โดยการเตรียมตัวอย่างดีก่อนถึงปลายสัปดาห์ทุกครั้ง เรารู้ว่าเราจะพูดอะไร. เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าวันเสาร์เราไม่เคยถามกันว่าจะไปในงานรับใช้ไหม. เรารู้ ว่าเราจะไป.”
16. เหตุใดการศึกษาภายในครอบครัวเป็นประจำกับบุตรนั้นสำคัญ?
16 เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า จำเป็นต้องให้น้ำแห่งความจริงของคัมภีร์ไบเบิลแก่พวกเด็ก ๆ เป็นประจำ ซึ่งย่อมหมายความว่า การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์ในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ. บิดาคนหนึ่งซึ่งมีบุตรสองคนยืนยันว่า “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กขัดเคืองใจคือความไม่คงเส้นคงวา.” (เอเฟโซ 6:4) เขากล่าวว่า “ผมและภรรยาเลือกวันและเวลาหนึ่งไว้และนำการศึกษาครอบครัวตามตารางเวลานั้นอย่างเคร่งครัด. ไม่นานเด็กก็รู้และคาดหมายว่าจะมีการศึกษาเมื่อถึงเวลานั้น.” การฝึกอบรมเช่นนั้นตั้งแต่ยังเป็นทารกนับว่าสำคัญ สอดคล้องกับคำพูดที่ว่า ‘กิ่งถูกดัดอย่างไร ต้นไม้ก็มีรูปร่างอย่างนั้น.’
17. อะไรที่นับว่าสำคัญพอ ๆ กับการให้ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลแก่ลูกน้อย?
17 การให้ความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลแก่เด็กเล็ก ๆ นั้นสำคัญ แต่ตัวอย่างของบิดามารดาก็สำคัญพอ ๆ กัน. บุตรของคุณเห็นคุณศึกษา, เข้าร่วมการประชุมเป็นประจำ, เข้าส่วนในงานรับใช้ในเขตทำงาน, และยิ่งกว่านั้น มีความยินดีในการทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาไหม? (บทเพลงสรรเสริญ 40:8) สำคัญที่พวกเขาจะเห็นคุณเป็นเช่นนั้น. น่าสนใจ บุตรสาวคนหนึ่งกล่าวถึงมารดาของเธอ ซึ่งได้อดทนการต่อต้านจากสามีและได้เลี้ยงดูบุตรหกคนจนเป็นพยานฯที่ซื่อสัตย์ในที่สุด โดยบอกว่า “สิ่งที่ประทับใจพวกเรามากที่สุดคือตัวอย่างของแม่เอง—ซึ่งดังยิ่งกว่าคำพูด.”
การปกป้องบุตรน้อย
18. (ก) โดยวิธีใดบิดามารดาจะสามารถให้การปกป้องที่บุตรจำเป็นต้องได้รับ? (ข) การสอนชนิดใดที่เด็ก ๆ ในชาติยิศราเอลได้รับเกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์?
18 เช่นเดียวกับต้นอ่อนที่จำต้องมีการป้องกันจากศัตรูพืชที่เป็นอันตราย ในระบบปัจจุบันอันชั่วช้านี้ บุตรน้อยก็ต้องได้รับการปกป้องให้พ้นจาก “คนชั่ว.” (2 ติโมเธียว 3:1-5, 13) บิดามารดาจะสามารถให้การปกป้องเช่นนี้ได้โดยวิธีใด? โดยการช่วยให้เขาได้มาซึ่งสติปัญญาของพระเจ้า! (ท่านผู้ประกาศ 7:12) พระยะโฮวาทรงมีพระบัญชาต่อพวกยิศราเอล—รวมทั้ง “เด็กทั้งปวง” ของพวกเขาด้วย—ให้ฟังการอ่านพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งในนั้นบอกชัดในเรื่องความประพฤติทางเพศที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมด้วย. (พระบัญญัติ 31:12; เลวีติโก 18:6-24) มีการกล่าวถึงอวัยวะสืบพันธุ์อยู่หลายครั้ง รวมทั้ง “ลูกอัณฑะ” และ “ท้อง [“อวัยวะเพศ,” ล.ม.].” (เลวีติโก 15:1-3, 16; 21:20; 22:24, ฉบับแปลใหม่; อาฤธโม 25:8; พระบัญญัติ 23:10) เนื่องจากโลกทุกวันนี้เสื่อมทรามลงเต็มที เด็กจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรเหมาะสมและอะไรไม่สมควรในการใช้อวัยวะเหล่านั้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้างที่พระเจ้าตรัสว่า “ดีนัก.”—เยเนซิศ 1:31; 1 โกรินโธ 12:21-24.
19. ควรให้การสอนที่เหมาะสมอะไรแก่บุตรน้อยเกี่ยวกับเรื่องอวัยวะที่พึงสงวนของพวกเขา?
19 เป็นการดีถ้าบิดามารดาร่วมกัน หรือไม่ก็ผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่เลี้ยงดูเด็ก จะบอกให้เด็กรู้จักอวัยวะที่เป็นส่วนพึงสงวนของตน. พวกเขาควรอธิบายให้เด็กทราบว่า ไม่ควรอนุญาตให้คนอื่นแตะต้องส่วนเหล่านี้. เนื่องจากพวกคนทำผิดทางเพศต่อเด็กมักทดสอบว่าเด็กเล็กมีท่าทีอย่างไรต่อการพยายามเข้าประชิดตัวอย่างแยบยลในทางมิดีมิร้าย เด็กควรได้รับการสอนให้ต่อต้านอย่างหนักแน่นและพูดว่า “หนูจะบอกคนอื่นว่าคุณทำอะไร!” จงสอนเด็กเล็ก ๆ ว่า พวกเขาควรรายงานทุกครั้ง ที่มีใครพยายามแตะเนื้อต้องตัวในวิธีที่ทำให้พวกเขาไม่สบายใจ ไม่ว่าจะถูกขู่ให้ตกใจกลัวแค่ไหนก็ตาม.
การตีสอนด้วยความรัก
20. (ก) เหตุใดการตีสอนจึงเป็นเช่นการตัดแต่งกิ่ง? (ข) ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในตอนแรกของการตีสอนเป็นเช่นไร แต่ผลสุดท้ายเป็นเช่นไร?
20 เด็กเล็กได้รับประโยชน์จากการตีสอนด้วยความรัก เช่นเดียวกับที่ต้นไม้ได้ประโยชน์จากการตัดแต่งกิ่ง. (สุภาษิต 1:8, 9; 4:13; 13:1) เมื่อตัดกิ่งที่ไม่พึงปรารถนาออกไปแล้ว กิ่งอื่น ๆ ก็จะสามารถเติบโตได้ดี. ดังนั้น ถ้าเด็กสนใจเป็นพิเศษในสิ่งฝ่ายวัตถุ หรือมีแนวโน้มชอบการคบหาที่ไม่ดีหรือการบันเทิงที่ไม่ดีงาม แนวโน้มที่ผิดเหล่านี้เป็นเหมือนกิ่งที่จำเป็นต้องตัดทิ้งเสีย. หากขจัดสิ่งเหล่านี้แล้ว บุตรของคุณก็จะได้รับการช่วยเหลือให้เติบโตในทิศทางฝ่ายวิญญาณ. การใช้วินัยเช่นนั้น ในตอนแรกอาจดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย เช่นเดียวกับที่การตัดแต่งกิ่งอาจทำให้ต้นไม้งันไปบ้าง. แต่ผลดีจากการตีสอนได้แก่ การเติบโตขึ้นมาใหม่ในทิศทางที่คุณต้องการให้บุตรของคุณโตขึ้น.—เฮ็บราย 12:5-11.
21, 22. (ก) อะไรที่ชี้ให้เห็นว่าการตีสอนนั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีทั้งผู้ให้และผู้รับ? (ข) เหตุใดบิดามารดาไม่ควรรั้งรอที่จะตีสอน?
21 เป็นที่ยอมรับกันว่า การตีสอนนั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีไม่ว่าจะเป็นฝ่ายให้หรือฝ่ายรับ. บิดาคนหนึ่งให้ข้อสังเกตดังนี้: “ตอนนั้นลูกชายผมใช้เวลามากขลุกอยู่กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ผู้ปกครองเตือนผมว่าไม่ใช่เพื่อนที่ดีที่ควรจะคบด้วย. ผมควรจะลงมืออย่างฉับไวกว่าที่ผมได้ทำ. แม้ว่าลูกชายผมไม่ได้เข้าส่วนทำผิดร้ายแรง แต่ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่จึงจะปรับแนวคิดของเขาได้.” ฝ่ายบุตรชายก็ให้ข้อสังเกตว่า “ตอนที่ผมต้องเลิกคบกับเพื่อนที่ดีที่สุดคนนี้ ผมรู้สึกช้ำใจมาก.” แต่เขากล่าวต่อไปว่า “นั่นเป็นการตัดสินใจที่ดี เพราะไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ถูกตัดสัมพันธ์.”
22 พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า “คำสั่งสอนห้ามปรามเป็นทางแห่งชีวิต.” ดังนั้น ไม่ว่าการตีสอนอาจจะทำได้ยากขนาดไหน อย่าได้ยับยั้งการตีสอนบุตรของคุณ. (สุภาษิต 6:23; 23:13; 29:17) ในที่สุด พวกเขาจะรู้สึกขอบคุณที่คุณดัดแปลงแก้ไขพวกเขา. เยาวชนคนหนึ่งเล่าว่า “ผมจำได้ว่าผมโกรธพ่อและแม่มากเมื่อถูกตีสอน. แต่ถึงตอนนี้แล้ว ผมคงจะโกรธยิ่งกว่านั้นเสียอีกถ้าท่านไม่ได้ตีสอนผม.”
รางวัลคุ้มค่าความพยายาม
23. เหตุใดการเอาใจใส่ทุกอย่างด้วยความรักที่ได้ทุ่มเทให้แก่บุตรน้อยคุ้มค่าความพยายาม?
23 ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ เด็กที่บิดามารดาและคนอื่น ๆ ชื่นใจยินดีในตัวพวกเขาเป็นผลมาจากความเอาใจใส่ด้วยความรักมากมายเป็นประจำทุกวัน. อย่างไรก็ตาม ความพยายามทุกอย่างที่ได้ลงทุนลงแรงไปกับพวกเขา—ไม่ว่าเขาจะเป็นบุตรฝ่ายเนื้อหนังหรือฝ่ายวิญญาณ—นับว่าคุ้มค่าเมื่อคิดถึงบำเหน็จที่จะได้รับ. อัครสาวกโยฮันผู้ชราแสดงให้เห็นเรื่องนี้เมื่อท่านเขียนดังนี้: “ไม่มีอะไรที่จะทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดีมากยิ่งกว่านี้, คือว่าซึ่งข้าพเจ้าได้ยินว่าบุตรทั้งหลายของข้าพเจ้าได้ประพฤติอยู่ในความจริง.”—3 โยฮัน 4.
[เชิงอรรถ]
a จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก
คุณจำได้ไหม?
▫ ทั้งต้นอ่อนและเด็กต้องการอะไรเพื่อจะคู่ควรแก่การชื่นชม?
▫ จริง ๆ แล้ว บิดามารดาสามารถทำหน้าที่เป็นไม้หลักยึดต้นที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
▫ อาจรวมอะไรเข้าไว้ด้วยในการสอนลูกน้อย และควรสอนพวกเขาให้ต่อต้านอะไร?
▫ การตีสอนเป็นประโยชน์อย่างไรสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับที่การตัดแต่งกิ่งเป็นประโยชน์สำหรับต้นไม้?
[ที่มาของภาพหน้า 10]
Courtesy of Green Chimney’s Farm