ค่าไถ่ที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคน
“แม้ว่าบุตรมนุษย์ก็ดี มิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก.”—มัดธาย 20:28, ล.ม.
1, 2. (ก) เหตุใดจึงกล่าวได้ว่า ค่าไถ่เป็นของประทานล้ำค่าที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์? (ข) จากการตรวจสอบหลักคำสอนเรื่องค่าไถ่แล้ว เราได้ประโยชน์อะไร?
ค่าไถ่เป็นของประทานอันประเสริฐยิ่งจากพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติ. เนื่องจากเรา “ได้รับการไถ่” จึงมีโอกาส “ได้รับการอภัยโทษในความผิดของเรา.” (เอเฟโซ 1:7) ค่าไถ่นี้แหละเป็นรากฐานแห่งความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าชีวิตในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน. (ลูกา 23:43; โยฮัน 3:16) และเพราะค่าไถ่นี้เอง คริสเตียนจึงอาจอยู่ในฐานะสะอาดจำเพาะพระเจ้าแม้แต่บัดนี้ทีเดียว.—วิวรณ์ 7:14, 15.
2 ด้วยเหตุนี้ ค่าไถ่จึงหาใช่สิ่งเลือนรางหรือเป็นเพียงแต่นามธรรม. เนื่องจากมีรากฐานถูกต้องตามกฎหมายและอาศัยหลักการต่าง ๆ ที่พระเจ้ากำหนดไว้เช่นนั้น ค่าไถ่ย่อมเอื้อประโยชน์แก่เราอย่างแท้จริงและแน่ชัด. แง่มุมบางอย่างเกี่ยวกับหลักคำสอนนี้อาจ “เข้าใจยาก.” (2 เปโตร 3:16) แต่คุณจะพบว่ามันคุ้มค่ากับความพยายามที่จะตรวจสอบเรื่องค่าไถ่อย่างถี่ถ้วน เพราะค่าไถ่สะท้อนความรักอันเยี่ยมยอดของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์. ที่จะเข้าใจความหมายของค่าไถ่ก็เหมือนกับได้เข้าใจส่วนสำคัญแห่ง “พระปัญญาและความรู้ของพระเจ้าที่มีเอนกอนันต์” เกินจะหยั่งถึง.—โรม 5:8; 11:33.
ประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องได้จัดการ
3. ค่าไถ่ได้กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างไร และทำไมพระเจ้าจึงไม่สามารถเพียงแต่ให้อภัยความผิดบาปของมนุษย์?
3 ค่าไถ่กลายเป็นสิ่งจำเป็นสืบเนื่องจากบาปของอาดามมนุษย์คนแรก ผู้ซึ่งได้ยกมรดกลม ๆ แล้ง ๆ แก่ลูกหลาน คือการเจ็บไข้ โรคภัย ความเศร้าโศกและความปวดร้าว. (โรม 8:20) โดยเหตุที่มนุษย์ได้สืบทอดความไม่สมบูรณ์นี้เอง ลูกหลานทั้งปวงของอาดามจึงเป็น “ลูกแห่งความพิโรธ” สมควรตาย. (เอเฟโซ 2:3; พระบัญญัติ 32:5) พระเจ้าไม่อาจจะยอมให้กับความรู้สึกซึ่งขาดหลักการและเพียงแต่ให้อภัย. พระคำของพระองค์เองแจ้งว่า “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย.” (โรม 6:23) ที่จะมองข้ามความบาปของมนุษย์ พระเจ้าคงจะต้องมองข้ามมาตรฐานต่าง ๆ ที่ชอบธรรมของพระองค์ และทำให้ความเที่ยงตรงของกฎหมายที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้เป็นโมฆะไป! (โยบ 40:8) ทว่า “ความยุติธรรมและความซื่อตรงเป็นรากพระที่นั่งของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 89:14) หากพระองค์ได้เบี่ยงเบนไปจากความชอบธรรมก็คงเป็นการสนับสนุนการละเลยกฎหมาย ทั้งเป็นการบ่อนทำลายฐานะที่พระองค์ทรงเป็นองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ.—เทียบกับท่านผู้ประกาศ 8:11.
4. การเป็นกบฏของซาตานก่อให้เกิดประเด็นอะไร?
4 อีกประการหนึ่ง พระเจ้าจำต้องยุติประเด็นอื่น ๆ ที่ถูกยกขึ้นมาโดยการกบฏของซาตาน ประเด็นซึ่งมีความสำคัญมากยิ่งเสียกว่าสภาพที่มนุษย์จำทนทุกข์ลำบาก. ซาตานได้ทำให้พระนามอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเสื่อมเสียไปโดยกล่าวหาพระยะโฮวาตรัสมุสา และเป็นจอมเผด็จการอำมหิตที่กีดกันมนุษย์ไม่ให้มีความรู้และอิสรภาพ. (เยเนซิศ 3:1-5) ยิ่งกว่านั้น โดยการขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้แผ่นดินเต็มไปด้วยมนุษย์ผู้ชอบธรรม ซาตานจึงทำให้ดูเหมือนว่าพระเจ้าล้มเหลว. (เยเนซิศ 1:28; ยะซายา 55:10, 11) อีกประการหนึ่ง ซาตานเองก็กล้าพูดใส่ร้ายผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าว่าพวกเขาปฏิบัติพระองค์ด้วยเจตนาอันเห็นแก่ตัวเท่านั้น. ซาตานคุยโตว่า ถ้าผู้รับใช้ของพระเจ้าตกอยู่ภายใต้ความกดดัน ไม่มีใครเลยจะยังคงซื่อสัตย์ต่อพระองค์!—โยบ 1:9-11.
5. ทำไมพระเจ้าไม่อาจจะมองข้ามคำท้าทายของซาตาน?
5 การท้าทายเช่นนี้เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้. หากปล่อยไว้โดยไม่จัดการ ในที่สุดความเชื่อมั่นในวิธีการปกครองของพระเจ้าและการสนับสนุนก็คงจะเสื่อมคลายไป. (สุภาษิต 14:28) ถ้ากฎหมายและระเบียบเสื่อมลง ความโกลาหลจะครอบคลุมทั่วทั้งเอกภพมิใช่หรือ? ฉะนั้น พระเจ้าเองทรงรับผิดชอบในเรื่องนี้และต่อแนวทางที่ชอบธรรมที่จะเชิดชูพระบรมเดชานุภาพของพระองค์. พระองค์ต้องให้โอกาสผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์อย่างมั่นคง. ทั้งนี้ย่อมหมายถึงการดำเนินงานกับสภาพอันน่าสงสารของมวลมนุษย์ผู้ผิดบาปโดยจัดการกับประเด็นสำคัญเหล่านั้นก่อน. ในเวลาต่อมา พระองค์ตรัสแก่ชาติยิศราเอลว่า “เรา เราเองนะเป็นผู้ที่ลบล้างการล่วงละเมิดของเจ้าเพราะเห็นแก่ตัวเราเอง.”—ยะซายา 43:25.
ค่าไถ่: การปิดคลุม
6. คำซึ่งนำมาใช้ในพระคัมภีร์มีอะไรบ้างเพื่อพรรณนาวิธีที่พระเจ้าช่วยชีวิตมนุษยชาติ?
6 เราอ่านที่บทเพลงสรรเสริญ 92:5 ว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา กิจการของพระองค์ใหญ่ยิ่งจริง และพระดำรัสของพระองค์ก็ลึกซึ้งมาก.” ด้วยเหตุนั้น เราจึงต้องบากบั่นพยายามจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อมนุษยชาติ. (เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 36:5, 6.) น่ายินดี พระคัมภีร์ช่วยให้เราเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ด้วยการใช้คำพูดเชิงพรรณนา หรืออุทาหรณ์ชี้ถึงราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจากแง่มุมต่าง ๆ กัน. พระคัมภีร์กล่าวถึงค่าไถ่ด้วยถ้อยคำอันหมายถึงการซื้อ การคืนดี การทำให้หายโกรธ การซื้อคืนและการไถ่โทษ. (บทเพลงสรรเสริญ 49:8; ดานิเอล 9:24; ฆะลาเตีย 3:13; โกโลซาย 1:20; เฮ็บราย 2:17) แต่บางทีถ้อยคำซึ่งพรรณนาเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือคำพูดของพระเยซูคริสต์ในมัดธาย 20:28 ที่ว่า “แม้บุตรมนุษย์ก็ดีไม่ได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่ [คำกรีก, ลิʹทรอน] คนเป็นอันมาก.”
7, 8. (ก) เราได้เรียนรู้อะไรจากคำกรีกและฮีบรูที่หมายถึงค่าไถ่? (ข) จงให้ตัวอย่างประกอบว่าค่าไถ่เกี่ยวข้องอย่างไรกับการมีค่าเท่าเทียมกัน.
7 ค่าไถ่คืออะไร? คำกรีกลิʹทรอน มาจากคำกริยาซึ่งหมายถึง “แก้, ปล่อย.” คำนี้ถูกใช้เมื่อมีการจ่ายเงินเพื่อให้ปล่อยเชลยศึก. แต่ในภาษาฮีบรู คำที่ใช้หมายถึงค่าไถ่คือ โคʹเฟอร์ มาจากคำกริยาที่หมายความว่า “ปกปิด” หรือ “ปิดคลุม.” ยกตัวอย่าง พระเจ้าทรงสั่งโนฮาให้ ยาชัน’ นาวาทั้งข้างในข้างนอก (คาฟารʹ). (เยเนซิศ 6:14) จากแง่คิดนี้ การจะไถ่หรือลบล้างบาปหมายถึงปิดคลุมบาป.—บทเพลงสรรเสริญ 65:3.
8 เดอะ ธีโอลอจิคัล ดิกชันนารี อ็อฟ เดอะ นิว เทสทาเมนท์ ให้ข้อสังเกตว่า โคʹเฟอร์ “หมายถึงของที่มีค่าเท่ากันเสมอ” หรือตรงกัน. ดังนั้น สิ่งปิดคลุม (คัปปอʹเรท) หีบคำสัญญาไมตรีจึงมีสัณฐานพอเหมาะพอดีกับหีบนั้น. ทำนองเดียวกัน เกี่ยวด้วยการลบล้างหรือไถ่ถอนบาป ความยุติธรรมของพระเจ้ากำหนดให้ ‘ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า.’ (พระบัญญัติ 19:21) ถึงแม้บางครั้ง อาจเป็นที่ยอมรับได้หากมีการเสนอสิ่งมีค่าทัดเทียมกันเพื่อชดใช้แทนการลงโทษอย่างหนัก. ตัวอย่างเช่น เอ็กโซโด 21:28-32 พูดถึงโคที่ขวิดคนถึงตาย. ถ้าเจ้าของโครู้นิสัยโคตัวนั้น แต่ไม่ได้หาทางป้องกันไว้ก่อน เจ้าของโคเองอาจจะต้องปิดคลุมหรือชดใช้แทนชีวิตของผู้ตายด้วยชีวิตของเขาเอง! แต่ถ้าเจ้าของโคมีความรับผิดชอบเพียงบางส่วนล่ะ? เขาคงต้องมีโคʹเฟอร์ คือสิ่งซึ่งปิดคลุมการผิดของเขา. ตุลาการที่ได้รับการแต่งตั้งอาจให้เขาจ่ายค่าไถ่หรือค่าปรับเป็นค่าไถ่ถอน.
9. สภาพการณ์ที่รวมเอาบุตรหัวปีชาวยิศราเอลแสดงให้เห็นอย่างไรในเรื่องความถูกต้องเที่ยงตรงที่กำหนดไว้เกี่ยวกับราคาไถ่?
9 คำฮีบรูอีกคำหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ “การไถ่” คือพาดาห์ʹ คำกริยาซึ่งความหมายพื้นฐานคือ “ไถ่ถอน.” อาฤธโม 3:39-51 อธิบายว่า ค่าไถ่ต้องไม่มากไปและไม่น้อยไป. เมื่อได้ช่วยชีวิตบุตรหัวปีชาวยิศราเอลเพื่อไม่ต้องถูกสังหาร ณ วันปัศคาปี 1513 ก่อนสากลศักราช พระยะโฮวาจึงเป็นเจ้าของพวกเขา. ดังนั้น พระองค์จึงสามารถตั้งข้อกำหนดให้บุตรหัวปีชาวยิศราเอลทุกคนปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหาร. แทนที่จะทำเช่นนั้นพระเจ้ารับ “ค่าตัว” (พิดห์-ยอห์มʹ คำนามที่แผลงมาจากคำพาดาห์ʹ) โดยทรงบัญญัติไว้ดังนี้ “เจ้าจงเอาพวกเลวีนั้น . . . แทนบุตรหัวปีทั้งหลายในพวกยิศราเอล . . . และพวกเลวีนั้นจะเป็นของเรา.” แต่จำนวนที่เอามาแทนบุตรหัวปีนั้นต้องแม่นยำ. จำนวนประชากรตระกูลเลวีที่นับได้คือผู้ชาย 22,000 คน. ถัดจากนั้น จำนวนบุตรหัวปีทั้งปวงที่เป็นชายในชาติยิศราเอลนับได้ 22,273 คน. ครั้นต้องเสียเงินห้าซะเก็ลเป็น “ค่าไถ่” สำหรับแต่ละคน ดังนั้น บุตรหัวปีเกิดจำนวน 273 คนจึงได้รับการยกเว้นจากงานปฏิบัติ ณ พระวิหาร.
ค่าไถ่อันมีค่าเท่าเทียมกัน
10. ทำไมเครื่องบูชาที่ใช้สัตว์จึงไม่สามารถปิดคลุมบาปของมนุษย์?
10 สิ่งที่กล่าวมาแล้วเป็นตัวอย่างซึ่งแสดงให้เห็นว่า ค่าไถ่ต้องมีค่าเท่าเทียมกับสิ่งที่ค่าไถ่นั้นใช้แทนหรือปิดคลุม. สัตว์ซึ่งผู้มีความเชื่อนับจากเฮเบลได้ถวายเป็นเครื่องบูชาก็ไม่สามารถปิดคลุมบาปของมนุษย์ได้ เนื่องจากมนุษย์อยู่ในฐานะสูงกว่าบรรดาสัตว์ที่ไม่รู้จักคิด. (บทเพลงสรรเสริญ 8:4-8) ฉะนั้น เปาโลจึงเขียนได้ว่า “ด้วยว่าเลือดโคผู้และเลือดแพะจะชำระความบาปก็หามิได้เลย.” เครื่องบูชาแบบนั้นจึงเป็นเพียงการปิดคลุมที่เป็นภาพเล็งถึงหรือเป็นสัญลักษณ์ ขณะที่คาดหวังจะได้ค่าไถ่ซึ่งจะมีมา.—เฮ็บราย 10:1-4.
11, 12. (ก) เหตุใดผู้คนหลายพันล้านคนจึงไม่ต้องตายเป็นบูชายัญเพื่อปิดคลุมบาปของมนุษย์? (ข) ใครแต่ผู้เดียวที่จะเป็น “ค่าไถ่อันมีค่าเท่าเทียมกัน” ได้ และการตายของผู้นั้นทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายอะไร?
11 ค่าไถ่ซึ่งเคยมีภาพเล็งถึงเช่นนี้ต้องมีค่าเท่าเทียมกับอาดาม เนื่องจากโทษถึงตายซึ่งพระเจ้าตัดสินให้ตกแก่อาดามมีผลคือการปรับโทษมนุษยชาติ. 1 โกรินโธ 15:22 บอกอย่างนี้: “คนทั้งปวงได้ตายเพราะเกี่ยวเนื่องกับอาดาม.” ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่มนุษย์หลายพันล้านคนสละชีวิตเป็นเครื่องบูชาให้เท่าเทียมกับลูกหลานแต่ละคนของอาดาม. “ความผิดได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว [อาดาม] และความตายก็เกิดมาเพราะความผิดนั้น.” (โรม 5:12) และเพราะว่า “ความตายได้อุบัติขึ้นเนื่องด้วยมนุษย์ [คนเดียว] เป็นเหตุ” การไถ่ถอนมนุษย์ก็มา “เนื่องด้วยมนุษย์” คนเดียวเช่นกัน.—1 โกรินโธ 15:21.
12 มนุษย์ที่จะเป็นค่าไถ่ได้ต้องเป็นมนุษย์สมบูรณ์พร้อมที่มีเลือดเนื้อจริง—เท่าเทียมกับอาดามโดยครบครัน. (โรม 5:14) กายวิญญาณหรือพระเจ้าในร่างมนุษย์คงทำให้ตราชูแห่งความยุติธรรมไม่สมดุล. เฉพาะมนุษย์สมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การปรับโทษถึงตายอย่างอาดามจึงอาจเสนอ “ค่าไถ่อันมีค่าเท่าเทียมกัน” ได้ คือผู้ที่เทียบเสมอกับอาดามได้อย่างสมบูรณ์ทุกประการ. (1 ติโมเธียว 2:6)a โดยเต็มใจสละชีวิตของตน “อาดามคนสุดท้าย” ผู้นี้จึงสามารถจ่ายค่าจ้างสำหรับบาปของ “อาดามมนุษย์คนแรก” ได้.—1 โกรินโธ 15:45; โรม 6:23.
13, 14. (ก) อาดามกับฮาวาได้ประโยชน์จากค่าไถ่ไหม? จงอธิบาย. (ข) ค่าไถ่เป็นประโยชน์แก่ลูกหลานของอาดามอย่างไร? จงให้ตัวอย่างประกอบ.
13 อย่างไรก็ตาม อาดามทั้งฮาวาด้วยไม่ได้ประโยชน์จากค่าไถ่. กฎหมายของโมเซมีหลักการที่ว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้รับค่าไถ่ชีวิตผู้ฆ่าคน ซึ่งควรจะถึงตายนั้น.” (อาฤธโม 35:31) อาดามไม่ถูกหลอก ดังนั้น บาปของเขาจึงเนื่องด้วยเจตนา จงใจทำ. (1 ติโมเธียว 2:14) ความผิดครั้งนั้นเท่ากับการฆาตกรรมลูกหลานตัวเอง เพราะนับตั้งแต่นั้นลูกหลานที่เกิดมาล้วนสืบทอดความไม่สมบูรณ์จากเขา เหตุฉะนั้น จึงอยู่ภายใต้การตัดสินให้มีโทษถึงตาย. เห็นได้ชัดว่า อาดามสมควรจะตาย เพราะฐานะเป็นมนุษย์สมบูรณ์และเขาสมัครใจละเมิดกฎหมายของพระเจ้าโดยเจตนา. ที่จะนำเอาค่าไถ่มาใช้เพื่อเห็นแก่อาดามเช่นนั้นคงเป็นการกระทำซึ่งขัดกับหลักการอันเที่ยงธรรมของพระยะโฮวา. อย่างไรก็ตาม การชดใช้ค่าจ้างสำหรับบาปของอาดามจึงเปิดทางไว้ที่จะเพิกถอนคำตัดสินลงโทษถึงตายซึ่งตกอยู่กับลูกหลานของอาดาม! (โรม 5:16) ในแง่กฎหมาย ฤทธิ์บาปอันเป็นการทำลายนั้นถูกกำจัดตรงสมุฏฐานเลยทีเดียว. ผู้ไถ่ ‘ชิมความตายเผื่อมนุษย์ทุกคน’ รับเอาผลแห่งบาปแทนลูกหลานทุกคนของอาดาม.—เฮ็บราย 2:9; 2 โกรินโธ 5:21; 1 เปโตร 2:24.
14 ยกตัวอย่าง: จงนึกถึงโรงงานใหญ่แห่งหนึ่งที่มีคนงานหลายร้อยคน. ผู้จัดการโรงงานกระทำการทุจริตเป็นเหตุให้ธุรกิจล้มละลาย โรงงานจึงต้องเลิกกิจการ. คนงานนับร้อยตกงานและไม่มีเงินจับจ่าย. ภรรยาและบุตร แม้กระทั่งเจ้าหนี้ต่างก็พลอยลำบากเพราะการทุจริตของผู้จัดการคนเดียว! ครั้นผู้ทำประโยชน์มีฐานะร่ำรวยคนหนึ่งได้ยอมชำระหนี้สินของบริษัท แล้วเปิดโรงงานดำเนินกิจการอีก. การยกเลิกเพิกถอนหนี้สินรายเดียวนั้นเป็นการปลดทุกข์ลูกจ้างหลายคนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย รวมไปถึงครอบครัวและเจ้าหนี้ด้วย. ทว่าผู้จัดการคนเดิมได้รับส่วนแบ่งไหมจากผลประโยชน์ที่งอกเงยขึ้นมาอีก? เปล่าเลย เขาติดคุกและแน่นอนเขาไม่เป็นผู้จัดการอีกต่อไป! ในทำนองเดียวกัน การลบล้างหนี้ที่อาดามก่อไว้ย่อมเป็นประโยชน์แก่ลูกหลานของเขาจำนวนหลายล้านคน—แต่อาดามไม่ได้รับประโยชน์.
ใครเตรียมการเรื่องค่าไถ่?
15. ใครสามารถเตรียมการเรื่องค่าไถ่สำหรับมนุษย์ได้ และทำไม?
15 ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญรำพันดังนี้: “ไม่มีใครสักคนเดียว ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีใด ๆ ก็ไถ่ชีวิตน้องชายของเขาไม่ได้ หรือจะเอาทรัพย์ถวายพระเจ้าเพื่อไถ่ชีวิตน้องก็ไม่ได้ (เพราะการไถ่ชีวิตของเขานั้นมีค่ามาก ไม่มีวันสำเร็จเลย).” คัมภีร์ฉบับแปล เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล ว่าอย่างนี้ ราคาค่าไถ่นั้น “เกินกำลังที่เขาจะจ่ายได้.” (บทเพลงสรรเสริญ 49:7, 8) เช่นนั้นแล้ว ใครล่ะจะเตรียมการเรื่องค่าไถ่? พระยะโฮวาแต่องค์เดียวสามารถจัดหา “พระเมษโปดก . . . ซึ่งรับความบาปของโลกไป” ได้. (โยฮัน 1:29, ล.ม.) พระเจ้าหาได้ส่งทูตสวรรค์เพื่อช่วยกู้ชีวิตมนุษย์ไม่ พระองค์ทรงเสียสละอย่างใหญ่หลวงด้วยการส่งพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ซึ่ง ‘เป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักมากเป็นพิเศษ.’—สุภาษิต 8:30; โยฮัน 3:16, ล.ม.
16. (ก) โดยวิธีใดพระบุตรของพระเจ้าได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์สมบูรณ์? (ข) พระเยซูอาจได้รับฉายาเป็นอะไรในแง่กฎหมาย?
16 ด้วยความร่วมมืออย่างเต็มใจในการจัดเตรียมของพระเจ้า พระบุตรของพระเจ้า “ทรงยอมสละพระองค์เอง” โดยได้ละสภาพความเป็นอยู่ทางภาคสวรรค์. (ฟิลิปปอย 2:7) พระยะโฮวาได้โยกย้ายพลังแห่งชีวิตและบุคลิกของพระบุตรหัวปีทางภาคสวรรค์เข้ามาไว้ภายในครรภ์ของหญิงพรหมจารีชาวยิวชื่อมาเรีย. แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ “ได้สวมทับเธอ” เป็นการประกันว่าทารกที่เติบโตในครรภ์ของเธอจะบริสุทธิ์ ไม่มีบาปติดตัวอย่างแน่นอน. (ลูกา 1:35; 1 เปโตร 2:22) เมื่อเป็นมนุษย์ เขาจะเรียกพระองค์ว่า เยซู. แต่ในแง่กฎหมาย พระองค์จะถูกเรียก “อาดามที่สอง” ได้เพราะพระองค์เท่าเทียมกับอาดามทุกประการ. (1 โกรินโธ 15:45, 47) ด้วยเหตุนั้น พระเยซูสามารถเสนอตัวเองเป็นเครื่องบูชาเหมือน “ลูกแกะที่ไม่มีตำหนิและด่างพร้อย” เป็นค่าไถ่เพื่อมนุษยชาติผู้ผิดบาป.—1 เปโตร 1:18, 19.
17. (ก) ค่าไถ่ได้ชำระให้ผู้ใด และทำไม? (ข) เนื่องจากพระเจ้าทรงเตรียมการเรื่องค่าไถ่และทรงรับเอาค่าไถ่เช่นนั้น ทำไมจึงทำการอย่างนี้?
17 แต่ค่าไถ่นั้นควรชำระให้กับผู้ใด? ผู้เชี่ยวชาญด้านเทววิทยาแห่งคริสต์ศาสนจักรเคยถกเถียงกันตลอดหลายศตวรรษว่าต้องจ่ายค่าไถ่ให้ซาตานพญามาร. ข้อเท็จจริงคือ มนุษย์เรา “ถูกขายแล้ว” และจมอยู่ในบาป ดังนั้น จึงอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของซาตาน. (โรม 7:14; 1 โยฮัน 5:19) กระนั้น พระยะโฮวา “ทรงสนองโทษ” เพราะการทำผิด หาใช่ซาตานไม่. (1 เธซะโลนิเก 4:6) ดังนั้น ดังที่บทเพลงสรรเสริญ 49:7 กล่าวอย่างชัดเจน ค่าไถ่นั้นต้องถวาย “พระเจ้า.” พระยะโฮวาได้ทรงจัดค่าไถ่ แต่ภายหลังลูกแกะของพระเจ้าถูกฆ่าเป็นเครื่องบูชา คุณค่าของค่าไถ่จึงต้องได้นำถวายแด่พระเจ้า. (เทียบกับเยเนซิศ 22:7, 8, 11–13; เฮ็บราย 11:17.) ทั้งนี้ใช่ว่าจะลดค่าไถ่เป็นการแลกที่ไม่มีความหมาย เสมือนกับว่าเราเอาเงินออกจากกระเป๋าหนึ่งใส่ไว้อีกกระเป๋าหนึ่ง. ค่าไถ่เป็นการดำเนินการทางกฎหมาย ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน. โดยการยืนยันว่าค่าไถ่ต้องได้ชำระ—แม้พระองค์เองเป็นฝ่ายที่ต้องจ่ายแพง—พระยะโฮวาก็ได้ทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงยึดมั่นกับหลักการอันชอบธรรมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง.—ยาโกโบ 1:17.
“สำเร็จแล้ว!”
18, 19. ทำไมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่พระเยซูทนทุกข์ทรมาน?
18 ฤดูใบไม้ผลิปีสากลศักราช 33 เป็นเวลาสำหรับการชำระค่าไถ่. พระเยซูคริสต์ถูกจับด้วยข้อหาเท็จ ถูกตัดสินว่าได้กระทำผิด แล้วถูกตรึงกับหลักประหาร. พระองค์ได้ทูลวิงวอนพระเจ้าด้วย “เสียงอันดังและน้ำพระเนตรไหล” เพราะความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทั้งได้รับการดูหมิ่นน่าอับอาย. (เฮ็บราย 5:7) พระเยซูจำเป็นต้องรับความทุกข์ทรมานขนาดนั้นไหม? ใช่ เพราะโดยการรักษาตัวเป็น “ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไม่มีมลทิน ต่างจากคนบาปทั้งปวง” จนกระทั่งถึงที่สุด พระเยซูได้ยุติประเด็นว่าด้วยความซื่อสัตย์ภักดีในส่วนผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างน่าประทับใจ.—เฮ็บราย 7:26.
19 ความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ทำให้พระองค์มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับการเป็นมหาปุโรหิต. เมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์คงจะไม่เป็นเหมือนเจ้านายที่เฉยเมย ปลีกตัวอยู่โดดเดี่ยว. “เพราะพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานโดยถูกทดลองนั้น พระองค์จึงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่ถูกทดลองนั้นได้.” (เฮ็บราย 2:10, 18; 4:15) ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย พระเยซูทรงเปล่งเสียงดังแสดงถึงชัยชนะว่า “สำเร็จแล้ว!” (โยฮัน 19:30) ไม่เพียงแต่พระองค์ได้พิสูจน์ความซื่อสัตย์ภักดีในส่วนของพระองค์เท่านั้น แต่ทรงวางรากฐานเพื่อความรอดของมนุษยชาติ—และสำคัญยิ่งกว่านั้น คือการชันสูตรเชิดชูพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา!
20, 21. (ก) เพราะเหตุใดพระคริสต์จึงได้รับการปลุกขึ้นจากตาย? (ข) ทำไมพระเยซู “ถูกทำให้มีชีวิตในสภาพวิญญาณ”?
20 แต่ว่า ค่าไถ่นั้นถูกนำมาใช้ในทางใดเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติที่มีบาป? ใช้เมื่อไร? อย่างไร? เรื่องเหล่านี้มิใช่ว่าจะปล่อยให้เป็นไปเอง. วันที่สามภายหลังพระคริสต์ได้วายพระชนม์ พระยะโฮวาทรงปลุกพระองค์เป็นขึ้นจากตาย. (กิจการ 3:15; 10:40) โดยการดำเนินงานอันสำคัญนั้น ซึ่งมีพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์หลายร้อยคน พระยะโฮวาไม่เพียงแต่ประทานบำเหน็จแก่พระบุตรของพระองค์เพราะการรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์เท่านั้น แต่ทรงให้โอกาสพระบุตรทำงานในด้านการไถ่จนสำเร็จ.—โรม 1:4; 1 โกรินโธ 15:3-8.
21 พระเยซู “ถูกทำให้มีชีวิตในสภาพวิญญาณ” ส่วนพระศพของพระองค์ได้สูญสลายอย่างที่ไม่มีการเปิดเผยให้รู้. (1 เปโตร 3:18; บทเพลงสรรเสริญ 16:10; กิจการ 2:27) เนื่องจากทรงเป็นกายวิญญาณ พระเยซูซึ่งได้คืนพระชนม์แล้วจึงสามารถเสด็จกลับสวรรค์อย่างผู้ชนะ. ณ โอกาสนั้นในสวรรค์คงบังเกิดความปีติยินดีกันอย่างเต็มที่! (เทียบกับโยบ 38:7.) มิใช่ว่าพระเยซูกลับไปเพียงเพื่อชื่นชมกับการต้อนรับ. พระองค์เสด็จกลับสวรรค์เพื่อดำเนินงานด้านอื่น รวมทั้งการจัดแนวทางเพื่อว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์บนแผ่นดินโลกจะมีโอกาสได้รับประโยชน์จากค่าไถ่ของพระองค์. (เทียบกับโยฮัน 5:17, 20, 21.) พระองค์ทรงกระทำให้เรื่องนี้สำเร็จแล้วอย่างไรและนั่นมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างไรนั้น จะมีการพิจารณากันในบทความต่อจากนี้.
[เชิงอรรถ]
a คำกรีกที่ถูกนำมาใช้ที่นี่คือ อันทิʹลิทรอน ไม่ปรากฏอีกเลยในพระคัมภีร์. คำนี้เกี่ยวโยงกับคำที่พระเยซูทรงใช้สำหรับค่าไถ่ (ลิʹทรอน) ที่มาระโก 10:45. อย่างไรก็ดี เดอะ นิว อินเตอร์เนชันแนล ดิกชันนารี อ็อฟ นิว เทสทาเมนท์ ธีโอโลจี ชี้แจงว่า อันทิʹลิทรอน ‘เน้นความคิดด้านการแลกเปลี่ยน.’ นับว่าเหมาะสมแล้วที่ฉบับแปลโลกใหม่ แปลคำนี้ว่า “ค่าไถ่อันมีค่าเท่าเทียมกัน.”
คำถามทบทวน
▫ ประเด็นอะไรบ้างมีความสำคัญมากยิ่งเสียกว่าความรอดของมนุษยชาติ?
▫ ที่จะ “ไถ่” คนบาปนั้นหมายถึงอะไร?
▫ พระเยซูต้องเท่าเทียมผู้ใด?
▫ ใครเตรียมการเรื่องค่าไถ่ และค่าไถ่นี้ต้องจ่ายให้ผู้ใด?
▫ ทำไมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปลุกพระเยซูฟื้นจากความตายให้มีสภาพเป็นวิญญาณ?
[รูปภาพหน้า 13]
การถวายสัตว์เป็นบูชายัญไม่มีค่าพอจะปิดคลุมบาปของมนุษย์ แต่การบูชายัญด้วยสัตว์นั้นเล็งถึงเครื่องบูชาที่ประเสริฐกว่าซึ่งจะมีมาภายหลัง