พระบัญญัติแห่งพระคริสต์
“ข้าพเจ้า . . . อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์.”—1 โกรินโธ 9:21.
1, 2. (ก) ความผิดพลาดของมนุษยชาติหลายอย่างอาจหลีกเลี่ยงได้อย่างไร? (ข) คริสต์ศาสนจักรพลาดไปไม่ได้เรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์ของลัทธิยูดาย?
“ชาติและรัฐบาลต่าง ๆ ไม่เคยเรียนสิ่งใดจากประวัติศาสตร์ หรือลงมือตามหลักการที่อนุมานได้จากประวัติศาสตร์.” นักปรัชญาชาวเยอรมันคนหนึ่งในศตวรรษที่ 19 กล่าวเอาไว้ดังนั้น. จริงทีเดียว แนวทางแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์ถูกบรรยายภาพว่าเป็น “ขบวนแถวแห่งความโง่เขลา” ความผิดพลาดและวิกฤตการณ์อันไม่พึงปรารถนามากมายซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายอย่างอาจหลีกเลี่ยงได้ หากมนุษยชาติเพียงแต่จะเต็มใจเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีต.
2 การปฏิเสธที่จะเรียนจากข้อผิดพลาดในอดีตแบบเดียวกันนั้นจะได้รับการเน้นเป็นพิเศษในการพิจารณากฎหมายของพระเจ้าต่อจากนี้. พระยะโฮวาพระเจ้าทรงแทนที่พระบัญญัติของโมเซด้วยพระบัญญัติที่ดีกว่านั้นอีก—นั่นคือพระบัญญัติแห่งพระคริสต์. กระนั้น พวกผู้นำของคริสต์ศาสนจักร ซึ่งอ้างว่าสอนและดำเนินชีวิตตามพระบัญญัตินี้ ล้วนแต่พลาดไปไม่ได้เรียนบทเรียนจากความโง่เง่าของพวกฟาริซาย. ด้วยเหตุนั้น คริสต์ศาสนจักรได้บิดเบือนและใช้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์อย่างผิด ๆ เช่นเดียวกับที่ลัทธิยูดายได้ทำกับพระบัญญัติของโมเซ. เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ประการแรก ให้เราพิจารณาพระบัญญัตินี้ดู—พระบัญญัตินี้คืออะไร, ใช้กับใครและอย่างไร, และต่างจากพระบัญญัติของโมเซอย่างไร. จากนั้นเราจะตรวจสอบวิธีที่คริสต์ศาสนจักรได้ใช้พระบัญญัตินี้อย่างผิด ๆ. ขอให้เราเรียนรู้และได้ประโยชน์จากประวัติศาสตร์!
คำสัญญาไมตรีใหม่
3. คำสัญญาอะไรที่พระยะโฮวาทรงทำเกี่ยวข้องกับคำสัญญาไมตรีใหม่?
3 มีใครอีกนอกจากพระยะโฮวาพระเจ้าที่สามารถปรับปรุงพระบัญญัติที่สมบูรณ์อยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก? คำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติของโมเซนั้นสมบูรณ์. (บทเพลงสรรเสริญ 19:7) ถึงกระนั้น พระยะโฮวาทรงสัญญาว่า “นี่แน่ะ, วันคืนทั้งหลายจะมา, เมื่อเราจะกระทำความสัญญาใหม่กับตระกูลยิศราเอล, แลตระกูลยะฮูดา . . . จะไม่เหมือนความสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับด้วยปู่ย่าตายายของเขา.” พระบัญญัติสิบประการซึ่งเป็นแก่นแห่งพระบัญญัติของโมเซถูกเขียนบนแผ่นหิน. แต่สำหรับคำสัญญาไมตรีใหม่ พระยะโฮวาตรัสว่า “เราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ ณ ภายในตัวเขาทั้งปวง, แลจะเขียนบทบัญญัตินั้นในใจเขา.”—ยิระมะยา 31:31-34.
4. (ก) ยิศราเอลไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสัญญาไมตรีใหม่? (ข) ใครอีกนอกจากยิศราเอลฝ่ายวิญญาณที่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์?
4 ใครที่จะถูกรับเข้าในคำสัญญาไมตรีใหม่นี้? แน่นอนว่าไม่ใช่ “ตระกูลยิศราเอล” ตามตัวอักษร ซึ่งได้ปฏิเสธพระผู้กลางแห่งคำสัญญาไมตรีนี้. (เฮ็บราย 9:15) ไม่ใช่ยิศราเอลตามตัวอักษร แต่ “ยิศราเอล” ใหม่นี้จะเป็น “ยิศราเอลของพระเจ้า” ชาติแห่งยิศราเอลฝ่ายวิญญาณ. (ฆะลาเตีย 6:16; โรม 2:28, 29) กลุ่มคริสเตียนที่ได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณกลุ่มเล็ก ๆ นี้ ในเวลาต่อมาจะมี “ชนฝูงใหญ่” จากทุกประเทศเข้ามาสมทบด้วย ซึ่งเป็นพวกที่แสวงหาการนมัสการพระยะโฮวาเช่นกัน. (วิวรณ์ 7:9, 10, ล.ม.; ซะคาระยา 8:23) แม้ไม่ได้เป็นส่วนของคำสัญญาไมตรีใหม่ คนเหล่านี้ก็จะถูกผูกมัดโดยพระบัญญัติด้วย. (เทียบกับเลวีติโก 24:22; อาฤธโม 15:15.) ดังที่อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ ฐานะเป็น “ฝูงเดียว” ภายใต้ “ผู้เลี้ยงผู้เดียว” ทั้งหมดจะ “อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์.” (โยฮัน 10:16; 1 โกรินโธ 9:21) เปาโลเรียกคำสัญญาไมตรีใหม่นี้ว่า “คำสัญญาไมตรีอันประเสริฐกว่าเก่า.” เพราะเหตุใด? ประการหนึ่งนั้น เพราะคำสัญญาไมตรีนี้อาศัยคำสัญญาที่สำเร็จเป็นจริง แทนที่จะอาศัยเงาของสิ่งต่าง ๆ ที่จะมา.—เฮ็บราย 8:6; 9:11-14.
5. วัตถุประสงค์ของคำสัญญาไมตรีใหม่คืออะไร และเหตุใดวัตถุประสงค์นี้จะถึงที่สำเร็จ?
5 อะไรคือวัตถุประสงค์ของคำสัญญาไมตรีนี้? คำสัญญาไมตรีนี้ก่อให้เกิดชาติหนึ่งที่ประกอบด้วยกษัตริย์และปุโรหิตที่จะอวยพระพรแก่มนุษยชาติ. (เอ็กโซโด 19:6; 1 เปโตร 2:9; วิวรณ์ 5:10) คำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติของโมเซไม่เคยก่อให้เกิดชาตินี้ในความหมายเต็มที่ เพราะยิศราเอลโดยรวมแล้วเป็นกบฏและเสียโอกาสของตน. (เทียบกับโรม 11:17-21.) อย่างไรก็ดี คำสัญญาไมตรีใหม่จะสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะคำสัญญาไมตรีนี้เกี่ยวข้องกับพระบัญญัติในแบบที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง. แตกต่างในทางใด?
พระบัญญัติแห่งเสรีภาพ
6, 7. พระบัญญัติแห่งพระคริสต์เสนอเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าพระบัญญัติของโมเซอย่างไร?
6 พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ถูกนำไปเชื่อมโยงกับเสรีภาพครั้งแล้วครั้งเล่า. (โยฮัน 8:31, 32) มีการกล่าวอ้างถึงพระบัญญัตินี้ว่าเป็น “กฎหมายแห่งชนชาติเสรี” และเป็น “กฎหมายอันสมบูรณ์แห่งเสรีภาพ.” (ยาโกโบ 1:25; 2:12, ล.ม.) แน่นอน เสรีภาพทุกอย่างในท่ามกลางมนุษย์มีขอบเขต. ถึงกระนั้น พระบัญญัตินี้ให้เสรีภาพที่ยิ่งใหญ่กว่ามากเมื่อเทียบกับพระบัญญัติที่มาก่อนคือพระบัญญัติของโมเซ. เป็นเช่นนั้นโดยวิธีใด?
7 ประการหนึ่งก็คือ ไม่มีใครที่เกิดใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์. ปัจจัยต่าง ๆ เช่น เชื้อชาติและสถานที่เกิดไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง. คริสเตียนแท้เลือกอย่างเสรีในหัวใจตนในการรับเอาแอกแห่งการเชื่อฟังพระบัญญัตินี้. ในการทำเช่นนั้น พวกเขาพบว่า แอกนี้พอเหมาะ และภาระก็เบา. (มัดธาย 11:28-30) ดังที่คุณอาจจำได้ พระบัญญัติของโมเซตั้งขึ้นเพื่อสอนคนเราด้วยว่า เขาเป็นมนุษย์ผิดบาปและจำเป็นอย่างยิ่งต้องได้รับเครื่องบูชาค่าไถ่เพื่อไถ่ถอนตัวเขา. (ฆะลาเตีย 3:19) อย่างไรก็ตาม พระบัญญัติแห่งพระคริสต์สอนว่า มาซีฮาได้มาแล้ว ทรงชำระราคาค่าไถ่ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์ และเปิดทางให้เราเป็นอิสระจากการข่มขี่อันขมขื่นของบาปและความตาย! (โรม 5:20, 21) เพื่อจะรับประโยชน์ เราจำเป็นต้อง “แสดงความเชื่อ” ในเครื่องบูชานั้น.—โยฮัน 3:16, ล.ม.
8. พระบัญญัติแห่งพระคริสต์รวมถึงอะไร แต่เหตุใดการดำเนินชีวิตใต้บัญญัตินี้ไม่จำเป็นต้องจำตัวบทกฎหมายมากมายหลายร้อยข้อ?
8 การ “แสดงความเชื่อ” หมายรวมถึงการดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระคริสต์. นั่นรวมถึงการเชื่อฟังพระบัญชาของพระคริสต์ทุกประการ. การเชื่อฟังนี้หมายถึงการจำพระบัญญัติและบทกฎหมายหลายร้อยข้อไหม? เปล่าเลย. ในขณะที่โมเซซึ่งเป็นคนกลางแห่งคำสัญญาไมตรีเก่าเขียนพระบัญญัติของโมเซ พระเยซูซึ่งเป็นผู้กลางแห่งคำสัญญาไมตรีใหม่ ไม่เคยเขียนบัญญัติเลยสักข้อ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงดำเนินชีวิต เป็นแบบฉบับของบัญญัตินี้. ด้วยแนวทางชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม พระองค์ได้ทรงวางแบบไว้ให้ทุกคนติดตาม. (1 เปโตร 2:21) บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่การนมัสการของคริสเตียนในยุคแรกถูกกล่าวถึงว่าเป็น “ทางนั้น.” (กิจการ 9:2; 19:9, 23; 22:4; 24:22) สำหรับพวกเขาแล้ว พระบัญญัติของพระคริสต์ถูกแสดงเป็นแบบอย่างด้วยวิถีชีวิตของพระคริสต์. เพื่อเลียนแบบพระเยซู เขาต้องเชื่อฟังพระบัญญัตินี้. ความรักที่แรงกล้าของพวกเขาต่อพระองค์ย่อมหมายความว่า พระบัญญัตินี้ถูกจารึกไว้บนหัวใจของพวกเขาจริง ๆ ดังที่ได้มีพยากรณ์ไว้. (ยิระมะยา 31:33; 1 เปโตร 4:8) และคนที่เชื่อฟังเพราะความรักไม่เคยรู้สึกถูกกดขี่—เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าพระบัญญัติแห่งพระคริสต์อาจเรียกได้ว่าเป็น “กฎหมายแห่งชนชาติเสรี.”
9. สาระสำคัญของพระบัญญัติแห่งพระคริสต์คืออะไร และพระบัญญัตินี้เกี่ยวข้องกับบัญญัติใหม่ในทางใด?
9 หากความรักเป็นสิ่งสำคัญในพระบัญญัติของโมเซ ความรักก็ยิ่งเป็นแก่นของกฎหมายคริสเตียน. ดังนั้น พระบัญญัติแห่งพระคริสต์รวมเอาบัญญัติใหม่ที่ว่า คริสเตียนต้องมีความรักแบบเสียสละต่อกันและกัน. พวกเขาต้องรักเช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงรัก; พระองค์เต็มพระทัยสละพระชนม์ชีพเพื่อเห็นแก่ผู้ที่เป็นมิตรของพระองค์. (โยฮัน 13:34, 35; 15:13) ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า พระบัญญัติแห่งพระคริสต์เป็นการแสดงถึงระบอบของพระเจ้าได้โดดเด่นกว่าพระบัญญัติของโมเซ. ดังที่วารสารนี้เคยได้ชี้ให้เห็นมาแล้วว่า “ระบอบของพระเจ้าเป็นการปกครองโดยพระเจ้า; พระเจ้าเป็นความรัก; ดังนั้น ระบอบของพระเจ้าจึงเป็นการปกครองด้วยความรัก.”
พระเยซูและพวกฟาริซาย
10. คำสอนของพระเยซูแตกต่างจากคำสอนของพวกฟาริซายอย่างไร?
10 ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่พระเยซูทรงขัดแย้งกับพวกผู้นำทางศาสนาชาวยิวในสมัยของพระองค์. “กฎหมายอันสมบูรณ์แห่งเสรีภาพ” อยู่ห่างไกลจนสุดกู่จากความคิดจิตใจของพวกอาลักษณ์และฟาริซาย. พวกเขาพยายามควบคุมประชาชนด้วยกฎข้อบังคับที่มนุษย์ตั้งขึ้น. การสอนของพวกเขากลายเป็นการกดขี่, การกล่าวโทษ, เป็นแบบที่ไม่เสริมสร้าง. ตรงกันข้ามเลยทีเดียว การสอนของพระเยซูนั้นเสริมสร้างและให้คุณประโยชน์อย่างล้นเหลือ! พระองค์ทรงสอนอย่างที่นำไปใช้ได้จริง และมุ่งไปที่ความต้องการและเรื่องราวที่มีความสำคัญอย่างแท้จริงของประชาชน. พระองค์ทรงสอนง่าย ๆ และด้วยความรู้สึกที่แท้จริง ใช้อุทาหรณ์จากชีวิตประจำวัน และอ้างหลักฐานจากพระคำของพระเจ้า. ด้วยเหตุนี้ “ประชาชนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์.” (มัดธาย 7:28) ใช่แล้ว คำสั่งสอนของพระเยซูเข้าถึงหัวใจของพวกเขา!
11. โดยวิธีใดพระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่าควรใช้พระบัญญัติของโมเซด้วยความมีเหตุผลและความเมตตา?
11 แทนที่จะเพิ่มกฎข้อบังคับเข้าไปในพระบัญญัติของโมเซ พระเยซูทรงแสดงวิธีที่ชาวยิวควรใช้พระบัญญัตินั้นด้วยความมีเหตุผลและความเมตตา. ยกตัวอย่างเช่น นึกถึงเมื่อครั้งที่มีหญิงคนหนึ่งซึ่งทนทุกข์อยู่ด้วยการตกเลือดได้เข้ามาถึงตัวพระองค์. ตามพระบัญญัติของโมเซ ใครก็ตามที่เธอสัมผัสถูกจะเป็นมลทิน ดังนั้น เธอไม่ควรปะปนอยู่ในฝูงชนอย่างแน่นอน! (เลวีติโก 15:25-27) แต่เธอปรารถนาเหลือเกินที่จะได้รับการรักษาจึงได้แหวกฝูงชนเข้ามาแตะฉลองพระองค์ชั้นนอกของพระเยซู. การตกเลือดของเธอหยุดในทันที. พระองค์ทรงตำหนิเธอที่ฝ่าฝืนพระบัญญัติไหม? ไม่เลย. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงเข้าใจสภาพที่สิ้นหวังของเธอและแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างถึงคำสอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระบัญญัติ—นั่นคือความรัก. พระองค์ตรัสกับเธออย่างเข้าใจความรู้สึกว่า “ลูกเอ๋ย, ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้ตัวรอด, จงไปเป็นสุขและหายโรคเถิด.”—มาระโก 5:25-34.
พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ปล่อยให้ทำตามใจชอบไหม?
12. (ก) ทำไมเราไม่ควรทึกทักเอาว่า พระคริสต์ปล่อยให้ทำตามใจชอบ? (ข) อะไรแสดงให้เห็นว่า การตั้งกฎมากมายทำให้เกิดการหาช่องโหว่ของกฎหมาย?
12 ถ้าอย่างนั้น เราควรจะสรุปไหมว่า เนื่องจากพระบัญญัติแห่งพระคริสต์เป็นบัญญัติ “แห่งเสรีภาพ” จึงปล่อยให้ทำตามใจชอบ ขณะที่พวกฟาริซาย พร้อมด้วยคำสอนสืบปากของพวกเขา อย่างน้อยก็ได้ควบคุมการประพฤติของประชาชนไว้ให้อยู่ภายในขอบเขตที่เข้มงวด? หามิได้. ระบบกฎหมายในทุกวันนี้ให้อุทาหรณ์ว่า ยิ่งมีกฎหมายมาก ผู้คนก็ยิ่งพยายามหาช่องที่จะหลบเลี่ยง.a ในสมัยของพระเยซู กฎของพวกฟาริซายที่มีมากมายกระตุ้นให้มีการหาช่องโหว่ของกฎเหล่านั้น, การทำตามหน้าที่พอเป็นพิธีโดยปราศจากความรัก, และการปลูกฝังท่าทีที่ถือว่าตนชอบธรรมแต่ภายนอกเพื่อซ่อนทับความชั่วที่อยู่ภายใน.—มัดธาย 23:23, 24.
13. เหตุใดพระบัญญัติแห่งพระคริสต์ก่อให้เกิดผลเป็นมาตรฐานการประพฤติที่สูงกว่าประมวลกฎหมายใด ๆ ที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร?
13 เมื่อเทียบความแตกต่างกันแล้ว พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ไม่ฟูมฟักเจตคติเช่นนั้น. ที่จริง การเชื่อฟังพระบัญญัติเนื่องด้วยความรักต่อพระยะโฮวาและเชื่อฟังโดยการเลียนแบบความรักแบบเสียสละเพื่อคนอื่นของพระคริสต์ยังผลเป็นมาตรฐานการประพฤติที่สูงกว่ามากเมื่อเทียบกับการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายตามแบบแผน. ความรักไม่แสวงหาช่องหลบหลีก; ความรักป้องกันเราไว้จากการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ก่อความเสียหายซึ่งประมวลกฎหมายอาจไม่ได้ห้ามอย่างชัดแจ้ง. (โปรดดูมัดธาย 5:27, 28.) ดังนั้น พระบัญญัติแห่งพระคริสต์จะกระตุ้นเราให้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนอื่น—แสดงความมีใจกว้าง, ความโอบอ้อมอารี, และความรัก—ในแบบที่ไม่มีกฎหมายตามแบบแผนสามารถบังคับให้เราทำได้.—กิจการ 20:35; 2 โกรินโธ 9:7; เฮ็บราย 13:16.
14. การดำเนินตามพระบัญญัติแห่งพระคริสต์มีผลเช่นไรต่อประชาคมคริสเตียนในศตวรรษแรก?
14 ตราบที่บรรดาสมาชิกดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติแห่งพระคริสต์ ประชาคมคริสเตียนในยุคแรกชื่นชมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรัก, ความอบอุ่น และเมื่อเทียบกันแล้วเป็นอิสระจากทัศนะที่ไม่ยืดหยุ่น, ตัดสินผู้อื่น, และหน้าซื่อใจคด ซึ่งมีอยู่แพร่หลายตามธรรมศาลาทั่วไปในสมัยนั้น. สมาชิกของประชาคมที่เพิ่งเกิดใหม่เหล่านี้คงต้องรู้สึกได้จริง ๆ ว่า พวกเขากำลังดำเนินอยู่ด้วย “กฎหมายแห่งชนชาติเสรี”!
15. ความพยายามแรก ๆ ที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ประชาคมคริสเตียนเสื่อมลงไปนั้นมีอะไรบ้าง?
15 อย่างไรก็ตาม ซาตานต้องการอย่างยิ่งที่จะทำให้ประชาคมคริสเตียนเสื่อมจากภายใน ดังที่มันได้ทำให้ชาติยิศราเอลเสื่อมไปแล้ว. อัครสาวกเปาโลเตือนให้ระวังคนที่เป็นเหมือนสุนัขป่าซึ่งจะ “พูดบิดเบือน” และกดขี่ฝูงแกะของพระเจ้า. (กิจการ 20:29, 30, ล.ม.) ท่านต้องโต้เถียงกับพวกที่ส่งเสริมลัทธิยูดาย ซึ่งมุ่งจะแลกเสรีภาพอย่างมีขอบเขตของพระบัญญัติแห่งพระคริสต์กับการเป็นทาสของพระบัญญัติของโมเซ ซึ่งได้สำเร็จไปแล้วในพระคริสต์. (มัดธาย 5:17; กิจการ 15:1; โรม 10:4) หลังจากอัครสาวกสุดท้ายเสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่มีการเหนี่ยวรั้งการออกหากอีกต่อไป. ด้วยเหตุนั้น ความเสื่อมทรามจึงได้แพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง.—2 เธซะโลนิเก 2:6, 7.
คริสต์ศาสนจักรปนเปื้อนพระบัญญัติแห่งพระคริสต์
16, 17. (ก) ความเสื่อมทรามแบบใดได้เกิดขึ้นในคริสต์ศาสนจักร? (ข) กฎต่าง ๆ ของคริสตจักรคาทอลิกส่งเสริมทัศนะที่บิดเบือนในเรื่องเพศอย่างไร?
16 เช่นเดียวกับลัทธิยูดาย ความเสื่อมทรามก็ได้เกิดขึ้นในหลายรูปแบบท่ามกลางคริสต์ศาสนจักร. องค์การเหล่านี้ได้ตกเป็นเหยื่อของหลักคำสอนเท็จและศีลธรรมที่หย่อนยานด้วยเช่นกัน. และความพยายามทั้งหลายแหล่เพื่อจะปกป้องฝูงแกะของตนจากอิทธิพลภายนอกก็มักปรากฏว่า ไปทำให้ส่วนของการนมัสการแท้ที่ยังคงเหลืออยู่น้อยนิดนั้นเสียไปด้วย. กฎที่ตายตัวและไม่เป็นตามหลักพระคัมภีร์เพิ่มทวีอย่างรวดเร็ว.
17 คริสตจักรคาทอลิกนำหน้าในการสร้างบทบัญญัติมากมายที่เป็นกฎของคริสตจักร. กฎเหล่านี้ผิดธรรมดาไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเพศ. ตามหนังสือเรื่องเพศกับลัทธิคาทอลิก (ภาษาอังกฤษ) คริสตจักรซึมซับเอาปรัชญากรีกสำนักสโตอิก ซึ่งตั้งข้อสงสัยในเรื่องความเพลิดเพลินทุกรูปแบบ. คริสตจักรจึงได้สอนว่า ความเพลิดเพลินทางเพศทุกอย่าง รวมทั้งที่ได้จากสายสมรสตามปกตินั้นเป็นบาป. (เทียบความแตกต่างกับสุภาษิต 5:18, 19.) พวกเขาอ้างว่าเพศสัมพันธ์มีไว้เพื่อการแพร่พันธุ์เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อื่นใด. ด้วยเหตุนี้ กฎของคริสตจักรตำหนิการคุมกำเนิดไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนราวกับว่าเป็นบาปร้ายแรง ซึ่งบางครั้งต้องลงโทษตัวเองเป็นเวลาหลายปีเพื่อชดเชยความผิด. ยิ่งกว่านั้น พวกนักบวชก็ถูกห้ามไม่ให้แต่งงาน ซึ่งเป็นข้อห้ามที่ได้ทำให้เกิดการทำผิดทางเพศมากมาย รวมทั้งการทำร้ายทางเพศต่อเด็กด้วย.—1 ติโมเธียว 4:1-3.
18. อะไรที่เป็นผลจากการตั้งกฎมากมายของคริสตจักร?
18 เนื่องจากกฎของคริสตจักรเพิ่มทวีมากขึ้น จึงมีการจัดรวบรวมเป็นเล่ม ๆ. หนังสือกฎเหล่านี้เริ่มบดบังและเข้ามาแทนที่คัมภีร์ไบเบิล. (เทียบกับมัดธาย 15:3, 9.) เช่นเดียวกับลัทธิยูดาย ลัทธิคาทอลิกไม่ไว้ใจในข้อเขียนทางโลกและเชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นพิษภัย. ทัศนะนี้ไม่ช้าก็เลยเถิดจนเกินคำเตือนที่มีเหตุผลของคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องนี้. (ท่านผู้ประกาศ 12:12; โกโลซาย 2:8) เจโรม นักเขียนของคริสตจักรแห่งศตวรรษที่สี่สากลศักราช อุทานดังนี้: “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า หากข้าพเจ้ามีหรืออ่านหนังสือฝ่ายโลกอีกครั้ง ข้าพเจ้าก็ได้ปฏิเสธพระองค์เสียแล้ว.” ต่อมา คริสตจักรจัดการให้มีการตรวจพิจารณาหนังสือต่าง ๆ—แม้แต่เล่มที่เป็นเรื่องทางโลกด้วยซ้ำ. ด้วยเหตุนี้ กาลิเลโอ นักดาราศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 ถูกตำหนิโทษในเรื่องที่เขาเขียนว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์. การที่คริสตจักรยืนกรานในอำนาจตัดสินชี้ขาดทุกเรื่องราว—แม้แต่เรื่องดาราศาสตร์—ในที่สุด กลับยังผลเป็นการเซาะกร่อนความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิล.
19. อารามต่าง ๆ ของคริสตจักรส่งเสริมลัทธินิยมใช้อำนาจอันแข็งกร้าวอย่างไร?
19 การตั้งกฎของคริสตจักรเฟื่องฟูในอารามทั้งหลาย ซึ่งพวกนักบวชแยกตัวเองจากโลกเพื่อดำเนินชีวิตอย่างปฏิเสธตัวเอง. วัดคาทอลิกส่วนมากยึดถือ “กฎแห่งเซนต์ เบเนดิกต์.” เจ้าอธิการ (แอบบอต ในภาษาอังกฤษ, คำนี้มาจากภาษาอาระเมอิกที่แปลว่า “บิดา”) ปกครองด้วยอำนาจสัมบูรณ์. (เทียบกับมัดธาย 23:9.) หากนักบวชคนหนึ่งได้รับของขวัญจากบิดามารดาของเขา เจ้าอธิการจะตัดสินว่านักบวชคนนั้นหรือคนอื่นควรจะได้รับของขวัญนั้น. นอกจากการตำหนิการพูดหยาบคาย มีกฎข้อหนึ่งที่ห้ามการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระและการพูดตลกทุกอย่าง โดยแจ้งว่า “ไม่ควรมีสาวกคนใดพูดในเรื่องเหล่านั้น.”
20. อะไรแสดงว่าลัทธิโปรเตสแตนต์ก็พิสูจน์ตัวเองสนับสนุนลัทธินิยมใช้อำนาจซึ่งไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์ด้วย?
20 ลัทธิโปรเตสแตนต์ซึ่งมุ่งจะปฏิรูปสิ่งที่เลยเถิดซึ่งไม่เป็นตามหลักพระคัมภีร์ของลัทธิคาทอลิก ไม่ช้าก็กลับช่ำชองพอ ๆ กันในการตั้งกฎแบบใช้อำนาจโดยที่ไม่มีพื้นฐานในพระบัญญัติแห่งพระคริสต์เลย. ตัวอย่างเช่น จอห์น แคลวิน ผู้นำนักปฏิรูป ในภายหลังถูกเรียกว่าเป็น “ผู้ออกกฎแห่งคริสตจักรซึ่งปฏิรูปขึ้นมาใหม่.” เขาปกครองเจนีวาด้วยกฎอันเคร่งครัดมากมายซึ่งบังคับใช้โดย “พวกผู้เฒ่าผู้แก่” ผู้ซึ่งแคลวินชี้ว่ามี “ตำแหน่งหน้าที่” ในการ “ควบคุมดูแลชีวิตของทุกคน.” (เทียบความแตกต่างกับ 2 โกรินโธ 1:24.) คริสตจักรเข้าควบคุมโรงแรมต่าง ๆ และออกกฎข้อบังคับว่าหัวข้อสนทนาแบบใดที่ได้รับอนุญาตให้พูดกันได้. มีบทลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับความผิดต่าง ๆ เช่น การร้องเพลงกันเล่น ๆ หรือการเต้นรำ.b
การเรียนจากข้อผิดพลาดของคริสต์ศาสนจักร
21. อะไรเป็นผลโดยรวมทั้งหมดแห่งแนวโน้มของคริสต์ศาสนจักรที่มัก “เลยขอบเขตสิ่งที่เขียนไว้”?
21 กฎและข้อบัญญัติทั้งหมดนี้ปกป้องคริสต์ศาสนจักรไว้จากความเสื่อมไหม? ตรงกันข้ามเลยทีเดียว! ปัจจุบันคริสต์ศาสนจักรได้แตกออกไปเป็นหลายร้อยหลายพันนิกาย มีตั้งแต่ที่ถือเคร่งจนเกินเหตุไปจนถึงที่ยอมให้กับการกระทำผิดอย่างเห็นได้ชัด. บรรดานิกายเหล่านี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ได้ทำ “เลยขอบเขตสิ่งที่เขียนไว้” โดยปล่อยให้ความคิดของมนุษย์เข้าครอบงำฝูงแกะและเข้ามาแทรกแซงกฎหมายของพระเจ้า.—1 โกรินโธ 4:6, ล.ม.
22. เหตุใดข้อบกพร่องของคริสต์ศาสนจักรไม่หมายถึงจุดจบของพระบัญญัติแห่งพระคริสต์?
22 อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ของพระบัญญัติแห่งพระคริสต์ไม่ใช่โศกนาฏกรรม. พระยะโฮวาพระเจ้าจะไม่ทรงยอมให้มนุษย์เดินดินมาลบล้างกฎหมายจากเบื้องบน. กฎหมายของคริสเตียนมีพลังมากในปัจจุบันท่ามกลางคริสเตียนแท้ และคนเหล่านี้ได้รับสิทธิพิเศษยิ่งใหญ่ที่จะดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายนี้. แต่หลังจากได้ตรวจสอบสิ่งที่ลัทธิยูดาย และคริสต์ศาสนจักรได้ทำกับกฎหมายของพระเจ้าแล้ว เราอาจเกิดข้อสงสัยได้ว่า ‘เราจะดำเนินชีวิตภายใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ได้อย่างไรและในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงหลุมพรางแห่งการทำให้พระคำของพระเจ้าปนเปื้อนด้วยการหาเหตุผลและกฎต่าง ๆ ของมนุษย์ซึ่งบ่อนทำลายความมุ่งหมายที่แท้จริงแห่งกฎหมายของพระเจ้า? ทัศนะที่สมดุลอะไรซึ่งพระบัญญัติแห่งพระคริสต์ควรจะค่อย ๆ ปลูกผังในตัวเราที่อยู่ในปัจจุบัน? บทความถัดไปจะเพ่งเล็งที่คำถามเหล่านี้.
[เชิงอรรถ]
a พวกฟาริซายเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดรูปแบบของลัทธิยูดายในปัจจุบันเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่ลัทธิยูดายยังคงแสวงหาช่องโหว่ในกฎข้อบังคับเรื่องวันซะบาโตที่เพิ่มเข้ามามากมาย. ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ไปยังโรงพยาบาลของกลุ่มที่ถือลัทธิยูดายดั้งเดิมในวันซะบาโตอาจพบว่าลิฟต์จะหยุดโดยอัตโนมัติทุกชั้น เพื่อว่าผู้ใช้บริการจะสามารถเลี่ยงจากการทำ “งาน” อันเป็นบาปในการกดปุ่มควบคุมลิฟต์. หมอชาวยิวบางคนเขียนใบสั่งยาด้วยหมึกที่จะเลือนหายไปเองภายในสองสามวัน. ทำไม? มิชนาห์จัดให้การเขียนอยู่ในจำพวก “งาน” แต่ได้นิยาม “การเขียน” ไว้ว่าเป็นการทิ้งให้เกิดรอยอย่างถาวร.
b เซร์เวทุส ผู้โต้แย้งทัศนะทางเทววิทยาบางประการของแคลวิน ถูกเผา ณ หลักประหารฐานะคนนอกรีต.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ สาระสำคัญของพระบัญญัติแห่งพระคริสต์คืออะไร?
▫ ลักษณะการสอนของพระเยซูแตกต่างจากการสอนของพวกฟาริซายอย่างไร?
▫ ซาตานใช้แนวโน้มชอบตั้งกฎที่เคร่งครัดเพื่อทำให้คริสต์ศาสนจักรเสื่อมทรามไปอย่างไร?
▫ อะไรคือผลดีบางประการของการดำเนินตามพระบัญญัติแห่งพระคริสต์?
[รูปภาพหน้า 16]
พระเยซูทรงใช้พระบัญญัติของโมเซอย่างมีเหตุผลและด้วยความเมตตา