เขาตอบสนองความรักของพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัว
“จงให้เขาขอบพระคุณพระยะโฮวาเพราะความกรุณารักใคร่ของพระองค์และเพราะราชกิจอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติ.”—บทเพลงสรรเสริญ 107:8, ล.ม.
1. อัครสาวกโยฮันเน้นคุณลักษณะความรักอย่างไรในจดหมายฉบับแรกของท่าน?
“พระเจ้าเป็นความรัก” ถ้อยคำเหล่านี้มีความหมายมากมายเพียงใด! ไม่น่าประหลาดใจที่อัครสาวกโยฮันรู้สึกว่าจำเป็นต้องกล่าวซ้ำความตอนนี้ในจดหมายฉบับแรกของท่าน. (1 โยฮัน 4:8, 16) ไม่เพียงแต่พระเจ้ายะโฮวาเป็นความรัก แต่ทรงเป็นแบบฉบับแห่งความรักด้วย.
2. พระเจ้าทรงสำแดงความรักโดยวิธีใดเมื่อทรงสร้างมนุษย์ชายหญิง อีกทั้งจัดเตรียมสิ่งค้ำจุนแก่เขา?
2 จงนึกถึงความรักที่พระเจ้าได้สำแดงให้ปรากฏด้วยวิธีที่พระองค์สร้างมนุษย์เรา. ถ้อยแถลงของดาวิดที่ส่อถึงความหยั่งรู้ค่านั้นช่างเหมาะสมเสียจริง ๆ. ฐานะที่ท่านเป็นนักประพันธ์เพลงสรรเสริญผู้ซึ่งได้รับการดลบันดาล ท่านได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพเจ้าถูกสร้างอย่างน่าพิศวงในวิธีที่น่าเกรงขาม. (บทเพลงสรรเสริญ 139:14, ล.ม.) เพื่อว่าพวกเราจะดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขสบายและเบิกบานยินดีได้ พระเจ้าทรงสรรค์สร้างสิ่งสารพัดนับไม่ถ้วนซึ่งยังความชื่นใจยินดีแก่เรา โดยทางประสาทสัมผัสทั้งห้า—ได้แก่การมองเห็น การได้ยิน การรู้รส การดมกลิ่น และการรู้สึก. สิ่งที่เรามองเห็นในธรรมชาติรอบตัวเราช่างสวยงามเสียนี่กระไร! พันธุ์ไม้หลายหลากและสัตว์นานาชนิดก็น่าพิศวงเพียงไร ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงความงามของมนุษย์ในด้านทรวดทรงและหน้าตา! อนึ่ง พระเจ้าได้ทรงจัดตกแต่งสารพัดผลไม้ พืชผักและสิ่งอื่นให้ดูงามน่ากินซึ่งเราจะรับประทานได้. (บทเพลงสรรเสริญ 104:13-16) ด้วยเหตุผลที่ดี อัครสาวกเปาโลได้สะกิดใจผู้คนในเมืองลุศตราโบราณว่า พระเจ้า “ได้ทรงกระทำคุณ ให้ฝนตกจากฟ้าและให้มีฤดูเกิดผล ท่านทั้งหลายจึงอิ่มใจยินดีด้วยอาหารนั้น.”—กิจการ 14:17, ฉบับแปลใหม่.
3. พระเจ้าทรงประสิทธิ์ประสาทความสามารถอย่างน่าพิศวงเช่นไรแก่พวกเรา?
3 นอกจากนั้น จงคิดถึงพระพรนานาประการซึ่งเกี่ยวพันกับชีวิตครอบครัวที่มีความสุข. ยิ่งกว่านั้น จงตริตรองความเพลิดเพลินทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เนื่องจากสมรรถนะทางด้านจิตใจและอารมณ์ของเรา เช่น จินตนาการ เหตุผล ความจำ สติรู้สึกผิดชอบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสามารถที่จะนมัสการ—ทุกสิ่งเหล่านี้ทำให้เราเหนือกว่าสัตว์ทั้งมวลอย่างไกลลิบ และเราไม่ควรมองข้ามความเพลิดเพลินที่เราอาจได้รับจากดนตรี. สิ่งเหล่านี้และของประทานอื่น ๆ อีกมากมายล้วนเป็นการสำแดงความรักของพระเจ้าต่อพวกเรา.
4. ตั้งแต่การล่วงละเมิดของบิดามารดาคู่แรกเป็นต้นมา การปรากฏแจ้งแห่งความรักชนิดใดของพระเจ้าซึ่งมนุษย์ได้ประสบ?
4 ไม่มีข้อสงสัยว่าอาดามกับฮาวาได้รับความเบิกบานยินดีมากมายในสภาพที่เขาสมบูรณ์พร้อมในสวนเอเดน. (เยเนซิศ 2:7-9, 22, 23) แต่ครั้นเขาหยุดเลิกตอบสนองอย่างไม่เห็นแก่ตัวต่อหลักฐานทุกอย่างที่แสดงถึงความรักของพระเจ้าเช่นนั้น พระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ไหม? เปล่าเลย! โดยทันทีทันใด พระองค์ได้จัดเตรียมการแก้ไขข้อผิดพลาดทุกอย่างอันเป็นผลจากการที่บิดามารดาคู่แรกของมนุษย์ได้ล่วงละเมิด. (เยเนซิศ 3:15) นอกจากนั้น พระยะโฮวาได้สำแดงความรักโดยทรงอดกลั้นทนนานกับลูกหลานเผ่าพันธุ์ของอาดามซึ่งล้วนเป็นคนไม่สมบูรณ์. (โรม 5:12) อดกลั้นทนนานเพียงใด? จนกระทั่งเวลานี้ก็ประมาณ 6,000 ปีแล้ว! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเจ้าทรงแสดงความรักเมื่อดำเนินการเกี่ยวข้องกับผู้รับใช้ของพระองค์. ถ้อยคำเหล่านี้สัตย์จริงที่ว่า “พระยะโฮวา พระยะโฮวา พระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา ผู้ทรงอดพระทัยได้นาน และบริบูรณ์ด้วยความดีและความจริง ทรงโปรดยกโทษความผิดพลาดและการล่วงละเมิดและบาป.”—เอ็กโซโด 34:6, 7.
5. โดยวิธีใดพระยะโฮวาได้ทรงแสดงความอดทนอย่างรักใคร่เมื่อปฏิบัติกับชาติยิศราเอล?
5 ความอดกลั้นทนนานยิ่งใหญ่ทีเดียวซึ่งพระเจ้ายะโฮวาแสดงให้ประจักษ์ในการปฏิบัติกับชาติยิศราเอลตั้งแต่เวลาเมื่อพระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาฐานะเป็นชนชาติหนึ่ง ณ เชิงเขาซีนาย กระทั่งความดื้อรั้นของชนชาตินี้เป็นเหตุให้พระองค์ได้ละทิ้งเขาเสียโดยสิ้นเชิง. ดังที่เราอ่านใน 2 โครนิกา 36:15, 16 (ฉบับแปลใหม่) ว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขาทรงใช้ให้ทูตของพระองค์มาอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะพระองค์ทรงมีพระทัยกรุณาต่อประชากรของพระองค์และต่อที่ประทับของพระองค์. แต่เขาทั้งหลายเยาะเย้ยทูตของพระเจ้าอยู่เสมอและดูหมิ่นพระวจนะของพระองค์ และด่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ จนพระพิโรธของพระเจ้าพลุ่งขึ้นต่อประชากรของพระองค์จนแก้ไม่ไหว.” แต่ก็มีบางคนได้ตอบสนองความรักของพระเจ้ายะโฮวาอย่างไม่เห็นแก่ตัว. ที่จะรู้ว่าเขาทำอย่างไร ให้เราพิจารณาดูประวัติส่วนตัวของบุคคลเหล่านี้บางคน. ทั้งนี้จะเป็นการวางพื้นฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเราเองนั้นจะตอบสนองความรักของพระยะโฮวาในแนวทางที่ใช้การได้จริงโดยวิธีใด.
วิธีที่โมเซตอบสนองอย่างไม่เห็นแก่ตัว
6. ตัวอย่างของโมเซเด่นในทางใด และท่านประสบความรักของพระเจ้าโดยวิธีใด?
6 โมเซเป็นตัวอย่างเด่นของผู้ที่ตอบสนองความรักของพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัว. ในฐานะเป็นบุตรบุญธรรมของธิดากษัตริย์ฟาโรห์ โมเซมีโอกาสดีสักเพียงไร! แต่ท่านเลือก “ที่จะทนการเคี่ยวเข็ญด้วยกันกับพลไพร่ของพระเจ้าดีกว่ามีใจยินดีในการชั่วสักเวลาหนึ่ง คือถือว่าความอัปยศของพระคริสต์ประเสริฐกว่าคลังทรัพย์ในประเทศอายฆุปโต.” (เฮ็บราย 11:25, 26) ครั้งหนึ่ง โมเซต้องการช่วยพี่น้องร่วมชาติชาวยิศราเอลให้หลุดพ้นจากสภาพเป็นทาสในประเทศอียิปต์. แต่คนพวกนั้นไม่หยั่งรู้ค่าความพยายามของท่าน ทั้งยังไม่ถึงเวลาตามที่พระเจ้ากำหนดจะปลดปล่อยพวกเขา. (กิจการ 7:23-29) อย่างไรก็ตาม หลายทศวรรษต่อมา เนื่องด้วยความเชื่อและความปรารถนาอย่างไม่เห็นแก่ตัวของโมเซที่จะช่วยพี่น้องของท่าน พระยะโฮวาทรงประทานฤทธิ์เดชให้ท่านประกอบกิจอันน่ามหัศจรรย์หลายอย่าง และรับใช้ชาวยิศราเอลนานถึง 40 ปีฐานะเป็นผู้พยากรณ์ ผู้พิพากษา ผู้บัญญัติกฎหมายและเป็นคนกลาง. ระหว่างปฏิบัติหน้าที่การงานต่าง ๆ ดังกล่าว โมเซประสบการสำแดงความรักของพระยะโฮวาต่อท่านและชาวยิศราเอลเพื่อนร่วมชาติของท่านในหลายกรณีด้วยกัน.
7. โมเซตอบสนองอย่างไรต่อการสำแดงความรักของพระเจ้า?
7 โมเซตอบสนองความรักของพระเจ้าและความกรุณาอันไม่พึงได้รับเช่นนั้นโดยวิธีใด? ท่าน ‘ได้รับเอาพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระยะโฮวาแล้วพลาดจุดมุ่งหมายของพระกรุณานั้น.’ ไหม? (2 โกรินโธ 6:1) ไม่เป็นเช่นนั้นเลย! โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง โมเซตอบสนองความรักของพระยะโฮวาซึ่งได้สำแดงแก่ท่านโดยที่ท่านคำนึงถึงพระเจ้าเสมอ. ท่านหมายพึ่งพระยะโฮวาตลอดเวลา และมีสัมพันธภาพแน่นแฟ้นกับพระผู้สร้างของท่าน. พระเจ้าได้ทรงกล่าวยกย่องโมเซเพียงไร เมื่อตำหนิอาโรนกับมิระยามที่เขาได้ต่อว่าน้องชายของตน! ถูกแล้ว พระยะโฮวาได้ตรัสแก่โมเซ “ปากต่อปาก” และให้ท่านเห็น ‘การปรากฏตัวของพระยะโฮวา.’ (อาฤธโม 12:6-8) แม้นว่าโมเซได้รับสิทธิพิเศษมากมาย ท่านยังคงเป็นคนถ่อมใจมากยิ่งกว่าคนทั้งปวง และกระทำตามพระบัญชาของพระยะโฮวา “ทุกประการ.”—เอ็กโซโด 40:16; อาฤธโม 12:3.
8. โมเซแสดงให้เห็นอย่างไรว่า ท่านคำนึงถึงพระเจ้าเสมอ?
8 อนึ่ง โมเซแสดงให้เห็นว่าท่านคำนึงถึงพระเจ้าเสมอโดยไม่เห็นแก่ตัวโดยการเอาเป็นธุระในเรื่องพระนาม ชื่อเสียงเกียรติคุณของพระยะโฮวา และการนมัสการอันบริสุทธิ์. ด้วยเหตุนี้ โมเซได้อ้อนวอนขอพระยะโฮวา ณ สองโอกาสต่างกันเพื่อพระองค์จะได้แผ่ความเมตตาแก่พวกยิศราเอล เพราะพระนามของพระเจ้าเกี่ยวข้องอยู่ แล้วก็ได้รับสมความมุ่งหมาย. (เอ็กโซโด 32:11-14; อาฤธโม 14:13-19) เมื่อพวกยิศราเอลเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบูชารูปโค โมเซได้แสดงความร้อนรนเพื่อการนมัสการที่บริสุทธิ์โดยร้องขึ้นว่า “ผู้ใดอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา? ให้ผู้นั้นมาหาเราเถิด!” หลังจากนั้น โมเซกับพวกที่อยู่กับท่านได้สังหารคนที่ไหว้รูปเคารพถึงสามพันคน. ครั้นแล้ว ท่านยอมทนเอากับผู้คนเหล่านั้นที่พร่ำบ่นและมีนิสัยดื้อรั้นนานถึงสี่สิบปี. ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า โมเซตอบสนองการสำแดงความรักของพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง นับว่าเป็นการวางตัวอย่างที่ดีสำหรับพวกเราในสมัยนี้.—เอ็กโซโด 32:26-28; พระบัญญัติ 34:7, 10–12.
การตอบรับที่ดีงามของดาวิด
9. (ก) ดาวิดตอบสนองความรักของพระเจ้ายะโฮวาอย่างไร? (ข) เช่นเดียวกับดาวิด พวกเราสามารถถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาด้วยของอันมีค่าได้โดยวิธีใด?
9 อีกคนหนึ่งซึ่งมีบุคลิกโดดเด่นในพระคัมภีร์ที่ได้วางตัวอย่างการตอบสนองความรักของพระเจ้าโดยไม่เห็นแก่ตัวได้แก่ดาวิด นักประพันธ์เพลงสดุดี กษัตริย์องค์ที่สองแห่งยิศราเอล. ความร้อนรนเพื่อพระนามของพระยะโฮวาได้กระตุ้นท่านต่อสู้ฆาละยัธชายร่างยักษ์ชาวฟะลิศตีม ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดให้ดาวิดเป็นฝ่ายมีชัย. (1 ซามูเอล 17:45-51) ความร้อนรนแบบเดียวกันเป็นแรงผลักดันดาวิดในการนำหีบคำสัญญาไมตรีไปยังกรุงยะรูซาเลม. (2 ซามูเอล 6:12-19) และความปรารถนาของดาวิดที่จะสร้างพระวิหารถวายพระยะโฮวาเป็นข้อบ่งชี้อีกประการหนึ่งถึงความร้อนรนของท่าน และการหยั่งรู้ค่าความรักและคุณความดีของพระเจ้ามิใช่หรือ? เป็นเช่นนั้นจริง. ถึงแม้ท่านไม่มีสิทธิพิเศษสร้างพระวิหาร ก็ใช่ว่าปิดกั้นดาวิดจากการส่งเสริมโครงการและให้เกียรติแด่พระยะโฮวาโดยการบริจาคทรัพย์สินส่วนพระองค์ เช่น ทอง เงิน เพชร และพลอยอันมีค่ามากมาย. (2 ซามูเอล 7:1-13; 1 โครนิกา 29:2-5) การตอบสนองทำนองเดียวกันต่อความรักของพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัวก็น่าจะกระตุ้นเราให้ ‘ถวายเกียรติยศแด่พระยะโฮวาด้วยทรัพย์อันมีค่าของเรา’ โดยใช้ทรัพยากรที่เรามีอยู่เพื่อแผ่ขยายผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักร.—สุภาษิต 3:9, 10; มัดธาย 6:33.
10. การกระทำของดาวิดเหมาะสมและควรแก่การเลียนแบบในแง่ไหน?
10 ถึงแม้ดาวิดได้กระทำผิดร้ายแรง แต่ตลอดชีวิตของท่าน ๆ ได้พิสูจน์ตัวเป็น ‘บุรุษผู้หนึ่งตามชอบพระทัยพระยะโฮวา.’ (1 ซามูเอล 13:14; กิจการ 13:22) บทเพลงสดุดีซึ่งท่านได้แต่งล้วนเป็นการแสดงออกซึ่งความหยั่งรู้ค่าต่อความรักของพระเจ้า. ดิ อินเตอร์เนชันแนล สแตนดาร์ด ไบเบิล เอ็นไซโคลพิเดีย ชี้แจงว่า ดาวิด “อิ่มเอิบด้วยความขอบพระคุณเหลือหลาย มากยิ่งกว่าใครอื่นทุกคนที่มีชื่ออยู่ในคัมภีร์ไบเบิลอันศักดิ์สิทธิ์.” อาซาฟนักประพันธ์เพลงสรรเสริญบอกว่า พระเจ้า “ทรงเลือกดาวิดมาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์และทรงนำท่านมาจากคอกแกะ. . . . เพื่อให้มาเป็นผู้อภิบาลพงศ์พันธุ์ของยาโคบ ซึ่งเป็นพลไพร่ของพระเจ้าคือยิศราเอล มรดกของพระองค์. ท่านจึงได้อภิบาลเขาไว้ด้วยใจสุจริต.” (บทเพลงสรรเสริญ 78:70-72) จริง ๆ แล้ว การกระทำของดาวิดเป็นตัวอย่างที่เราพึงเลียนแบบ.
พระเยซูคริสต์แบบอย่างที่สมบูรณ์พร้อมของเรา
11, 12. พระเยซูได้แสดงให้เห็นอย่างไรว่าพระองค์ทรงคำนึงถึงพระเจ้าเสมอ?
11 ถูกแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นบุคคลตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในคัมภีร์ไบเบิล เกี่ยวกับบุรุษผู้ตอบสนองความรักของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง. อะไรล่ะเป็นพลังกระตุ้นพระเยซูให้ลงมือปฏิบัติ? ประการแรก พระองค์ทรงมีแรงบันดาลใจที่จะแสดงความเลื่อมใสโดยเฉพาะแด่พระยะโฮวา. ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลยว่าพระเยซูทรงคำนึงถึงพระเจ้าเสมอ. การหยั่งรู้ค่าความรักและคุณความดีของพระบิดาทางภาคสวรรค์เป็นแรงกระตุ้นพระองค์ที่จะเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง. พระองค์ทรงมีสัมพันธภาพใกล้ชิดสนิทกับพระเจ้า. พระเยซูทรงเป็นบุรุษที่มุ่งมั่นในการอธิษฐาน และพระองค์ชอบพระทัยจะสนทนากับพระบิดาผู้สถิตในสรวงสวรรค์. เราได้อ่านครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระคริสต์ทรงอธิษฐาน. ณ โอกาสหนึ่งพระองค์ได้อธิษฐานตลอดคืน. (ลูกา 3:21, 22; 6:12; 11:1; โยฮัน 17:1-26) เพื่อตอบสนองความรักของพระเจ้า พระเยซูดำเนินตามสัจธรรมที่ว่า ‘มนุษย์ไม่ได้ดำรงชีวิตด้วยขนมปังแต่อย่างเดียว แต่ด้วยคำพูดทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระยะโฮวา.’ อันที่จริง การกระทำตามพระทัยพระบิดาคืออาหารสำหรับพระองค์ทีเดียว. (มัดธาย 4:4; โยฮัน 4:34) สมควรไหมที่เราพึงตอบสนองความรักของพระเจ้าด้วยท่าทีคล้าย ๆ กัน ถวายความเลื่อมใสโดยเฉพาะแด่พระองค์?
12 โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเมื่อตอบสนองความรักของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงชี้นำความสนใจไปยังพระเจ้าพระบิดาของพระองค์เสมอ. เมื่อบางคนทูลพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ” พระองค์ทรงคัดค้านและตรัสว่า “ไม่มีใครประเสริฐ เว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว.” (ลูกา 18:18, 19, ฉบับแปลใหม่) พระเยซูตรัสย้ำบ่อย ๆ ว่าพระองค์ไม่สามารถกระทำสิ่งใด ๆ โดยความริเริ่มของพระองค์เอง. พระองค์ไม่เคยปล่อยโอกาสผ่านไปโดยไม่ได้กล่าวสรรเสริญพระนามพระบิดาของพระองค์ และพระองค์เริ่มต้นคำอธิษฐานอันถือเป็นแบบฉบับนั้นอย่างเหมาะสมที่สุด ด้วยคำทูลที่ว่า “ขอพระนามของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์.” พระองค์ทรงอธิษฐานดังนี้ “โอพระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์มีเกียรติยศ.” และไม่นานก่อนสิ้นพระชนม์ พระคริสต์ทรงทูลพระบิดาของพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าได้ถวายเกียรติยศแก่พระองค์ในโลก เพราะข้าพเจ้าได้กระทำการซึ่งพระองค์ทรงประทานให้ข้าพเจ้ากระทำนั้นสำเร็จแล้ว.” (มัดธาย 6:9; โยฮัน 12:28; 17:4) แน่นอน เพื่อตอบสนองความรักของพระเจ้า เราควรมุ่งถวายเกียรติยศพระยะโฮวา อธิษฐานขอให้พระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ได้รับการเทิดทูน.
13. ความรักของพระเจ้าเป็นพลังกระตุ้นพระเยซูอย่างไร?
13 ทีนี้ โปรดสังเกตแนวทางที่สองซึ่งการตอบสนองความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัวนั้นได้กระตุ้นพระเยซู. การตอบสนองอย่างไม่เห็นแก่ตัวทำให้พระองค์รักความชอบธรรมและเกลียดความชั่ว ดังกล่าวไว้ล่วงหน้าที่บทเพลงสรรเสริญ 45:7. (เฮ็บราย 1:9) พระองค์ “ซื่อสัตย์ภักดี ไม่มีอุบาย ไม่มีมลทิน ต่างจากคนบาปทั้งปวง.” (เฮ็บราย 7:26, ล.ม.) พระเยซูได้ท้าพวกที่ออกอุบายต่อต้านพระองค์ให้ยืนยันว่าพระองค์ทำผิด แต่เขาไม่อาจยืนยันได้. (โยฮัน 8:46) มีอยู่สองคราวด้วยกันซึ่งเพราะการเกลียดความชั่วนั้นเอง พระองค์จึงได้ชำระพระวิหารจากนักศาสนาที่มักโลภเห็นแก่ได้. (มัดธาย 21:12, 13; โยฮัน 2:13-17) และพระเยซูได้ตำหนิผู้นำทางศาสนาซึ่งเป็นคนหน้าซื่อใจคดอย่างเผ็ดร้อนเพียงไร กระทั่งประณามพวกเขาว่ามาจากมาร!—มัดธาย 6:2, 5, 16; 15:7-9; 23:13-32; โยฮัน 8:44.
14. ในการตอบสนองความรักของพระยะโฮวา พระเยซูปฏิบัติอย่างไรต่อสาวกของพระองค์?
14 อีกวิธีหนึ่งที่ความรักของพระยะโฮวาได้กระตุ้นพระเยซูนั้นเห็นได้จากการปฏิบัติของพระองค์กับพวกอัครสาวกและศิษย์อื่น ๆ. พระองค์ทรงสำแดงความรักความอดกลั้นอดทนกับพวกเขามากเพียงไร! สาวกเหล่านั้นคงสร้างความหนักใจให้กับพระองค์สักปานใด ด้วยการชิงดีชิงเด่นและโต้เถียงกันว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด กระทั่งในคืนนั้นที่พระองค์ถูกทรยศ. (ลูกา 22:24-27) กระนั้น พระเยซูทรงแสดงให้ประจักษ์ทุกครั้งว่าพระองค์ทรงมีพระทัยอ่อนโยนถ่อมพระหฤทัย. (มัดธาย 11:28-30) จริง ยูดาทรยศพระเยซู เปโตรปฏิเสธพระองค์สามครั้ง และอัครสาวกคนอื่นได้หนีไปเมื่อเหล่าร้ายกรูเข้ามาจับกุมพระองค์. แต่พระองค์ไม่เคยรู้สึกขมขื่นหรือเคืองพระทัย. เราทราบได้อย่างไร? หลังจากพระองค์คืนพระชนม์แล้วเข้ามาพบพวกอัครสาวกอย่างไรล่ะ พระองค์ไม่ได้ต่อว่าพวกเขาอย่างรุนแรงเพราะพวกเขายอมแพ้ต่อความกลัว. แทนที่จะทำเช่นนั้น พระองค์ทรงปลอบประโลมใจและชูกำลังพวกเขาให้เข้มแข็งต่อไปในงานรับใช้ราชอาณาจักร.—โยฮัน 20:19-23.
15. ด้วยการไม่เห็นแก่ตัว พระเยซูได้ปฏิบัติเช่นไรต่อประชาชนตามความต้องการของเขาทางด้านร่างกาย?
15 ขอให้เราพิจารณาอีกวิธีหนึ่งซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตอบสนองความรักของพระเจ้าโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว. พระองค์ทรงกระทำอย่างนั้นโดยการยอมเสียสละพระองค์เองเพื่อประโยชน์ผู้อื่น กระทั่งยอมวายพระชนม์บนหลักทรมานอย่างน่าอับอายและเจ็บปวด. (ฟิลิปปอย 2:5-8) พระเยซูทรงรับใช้ประชาชนในด้านความจำเป็นฝ่ายร่างกายโดยการเลี้ยงอาหารผู้คนมากมายและรักษาคนป่วยไข้ให้หายอย่างน่าอัศจรรย์. (มัดธาย 14:14-22; 15:32-39) พระองค์ทรงยกเอาประโยชน์ของผู้อื่นขึ้นหน้าผลประโยชน์ของตนเองเสมอ. เพราะเหตุนั้น พระองค์สามารถกล่าวได้ว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ.” (มัดธาย 8:20) พระเยซูรู้สึกไวต่อการดำเนินงานของพระวิญญาณของพระเจ้า ขณะที่พระวิญญาณนั้นไหลผ่านพระองค์เพื่อทำการรักษาอย่างน่าอัศจรรย์. แต่พระองค์ไม่เคยพยายามรับประโยชน์ด้านวัตถุจากการใช้ฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติเช่นนั้น อย่างเช่น เมื่อหญิงคนหนึ่งซึ่งป่วยเรื้อรังเพราะตกเลือดนานถึงสิบสองปีได้แตะฉลองพระองค์ชั้นนอกด้วยความเชื่อ แล้วก็หายป่วย. (มาระโก 5:25-34) ยิ่งกว่านั้น พระเยซูไม่เคยใช้ฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของพระองค์เอง.—เทียบกับมัดธาย 4:2-4.
16. พระคริสต์ทรงรับใช้เช่นไรต่อความต้องการฝ่ายวิญญาณของประชาชน?
16 ถึงแม้นพระเยซูทรงเอาใจใส่ต่อความต้องการของผู้คนทางด้านร่างกายอย่างไม่เห็นแก่ตัว โดยการบำบัดรักษาโรคของเขาและเลี้ยงอาหารพวกเขาอย่างน่าอัศจรรย์ แต่จุดมุ่งหมายหลักในการรับใช้ของพระองค์ทางแผ่นดินโลกนี้ก็เพื่อประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า เพื่อสั่งสอนและทำคนเป็นสาวก. ถึงแม้พระองค์ได้ประกอบกิจรักษาโรคโดยการอัศจรรย์ แต่พระองค์ก็หาได้ชื่อว่าเป็นแพทย์ที่ยิ่งใหญ่หรือเป็นผู้สำแดงปฏิหารย์ไม่ แต่เป็นครูผู้ประเสริฐ. (มัดธาย 4:23, 24; มาระโก 10:17) พระเยซูทรงกล่าวพาดพิงถึงพระองค์เป็นครู สาวกของพระองค์และแม้กระทั่งศัตรูก็กล่าวเช่นนั้นเหมือนกัน. (มัดธาย 22:16; 26:18; มาระโก 9:38) และพระองค์ทรงสอนสัจธรรมมากมายอะไรเช่นนั้น อย่างเช่นในคำเทศน์บนภูเขา! (มัดธาย 5:1–7:29) อุทาหรณ์ของพระองค์เล่าก็ช่างเหมาะเจาะ ส่วนการเปรียบเทียบเชิงพยากรณ์และคำพยากรณ์อื่น ๆ ล้วนเป็นเรื่องน่าทึ่งเสียจริง ๆ! ไม่น่าแปลก เมื่อทหารซึ่งถูกส่งไปจับพระองค์คราวหนึ่งไม่กล้าลงมือจับพระองค์!—โยฮัน 7:45, 46.
17. (ก) พระเยซูจัดเตรียมแบบอย่างที่สมบูรณ์พร้อมเกี่ยวด้วยความรักแก่พวกเราโดยวิธีใด? (ข) จะมีการพิจารณาเรื่องอะไรในบทความถัดไป?
17 ไม่มีข้อสงสัย พระเยซูคริสต์ได้ทรงวางแบบอย่างสมบูรณ์พร้อมเกี่ยวกับการตอบสนองอย่างไม่เห็นแก่ตัวต่อการสำแดงความรักของพระเจ้ากับพวกเรา. พระเยซูทรงจัดให้พระบิดาทางภาคสวรรค์เป็นอันดับแรกในชีวิตและในความรักของพระองค์. พระองค์ทรงรักความชอบธรรมอย่างแท้จริง ทรงปฏิบัติกับเหล่าอัครสาวกและสาวกทั้งหลายด้วยความรัก และใช้ชีวิตของพระองค์รับใช้ประชาชนตามความต้องการของเขาทั้งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายร่างกาย. ในที่สุด จุดสุดยอดแห่งงานรับใช้ของพระเยซูคือการสละชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่. (มัดธาย 20:28) แต่พวกเราเป็นอย่างไร? จริงอยู่ เราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ เหมือนโมเซและดาวิด. อย่างไรก็ดี ดังที่บทความถัดไปแสดงให้เห็น มีแนวทางที่ใช้ได้ผลดีซึ่งเราสามารถเลียนแบบบุคคลตัวอย่างได้ในการตอบสนองอย่างไม่เห็นแก่ตัวต่อความรักของพระเจ้าซึ่งพระองค์ได้ทรงสำแดงในวิธีต่าง ๆ หลายอย่าง.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ทำไมจึงกล่าวได้ว่า “พระเจ้าเป็นความรัก”?
▫ โมเซตอบสนองความรักของพระเจ้าในทางใด?
▫ ดาวิดตอบสนองความรักของพระเจ้ายะโฮวาในทางใด?
▫ พระเยซูคริสต์ได้วางตัวอย่างอะไรในการตอบสนองความรักของพระเจ้า?
[รูปภาพหน้า 10]
คุณทราบไหมว่าโมเซตอบสนองความรักของพระเจ้าโดยวิธีใด?
[รูปภาพหน้า 12]
พระเยซูได้ตอบสนองความรักของพระเจ้าโดยการช่วยเหลือคนอื่น ๆ ทั้งในด้านวิญญาณและด้านร่างกาย และโดยการสละชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่