อยู่ในโลกแต่ไม่เป็นส่วนของโลก
“เพราะเจ้ามิได้เป็นส่วนของโลก . . . โลกจึงเกลียดชังเจ้า.”—โยฮัน 15:19, ล.ม.
1. คริสเตียนมีความสัมพันธ์เช่นไรกับโลก แต่โลกมีทัศนะอย่างไรต่อพวกเขา?
ในคืนสุดท้ายที่อยู่กับสาวก พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้ามิได้เป็นส่วนของโลก.” โลกไหนที่พระองค์กำลังตรัสถึง? ก่อนหน้านั้นพระองค์ตรัสมิใช่หรือว่า “พระเจ้าทรงรักโลกมากจนถึงกับได้ประทานพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”? (โยฮัน 3:16, ล.ม.) เห็นได้ชัดว่า เหล่าสาวกเป็นส่วนหนึ่งของโลกดังกล่าว เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่แสดงความเชื่อในพระเยซูซึ่งจะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์. ถ้าอย่างนั้น ทำไมตอนนี้พระเยซูตรัสว่าสาวกของพระองค์แยกอยู่ต่างหากจากโลก? และทำไมพระองค์ตรัสด้วยว่า “เพราะเจ้ามิได้เป็นส่วนของโลก . . . ด้วยเหตุนี้โลกจึงเกลียดชังเจ้า”?—โยฮัน 15:19, ล.ม.
2, 3. (ก) คริสเตียนไม่เป็นส่วนของ “โลก” ใด? (ข) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเช่นไรเกี่ยวกับ “โลก” ซึ่งคริสเตียนไม่เป็นส่วนด้วย?
2 คำตอบคือ คัมภีร์ไบเบิลใช้คำ “โลก” (ภาษากรีก คอʹสมอส) ในหลายความหมาย. ดังที่อธิบายแล้วในบทความก่อน บางครั้งคำ “โลก” ในคัมภีร์ไบเบิลใช้หมายถึงมนุษยชาติทั่วไป. นี่คือโลกที่พระเจ้าทรงรักและพระเยซูสิ้นพระชนม์ก็เพื่อโลกนี้. อย่างไรก็ตาม ประวัติของศาสนาคริสเตียนฉบับออกซฟอร์ด (ภาษาอังกฤษ) กล่าวดังนี้: “คริสเตียนยังใช้คำว่า ‘โลก’ หมายถึงสิ่งที่เหินห่างจากพระเจ้าและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์.” เรื่องนี้เป็นจริงอย่างไร? นักเขียนคาทอลิกชื่อรอลัง มิเนอรัท อธิบายไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อเล เครเทียน เอ เลอ มองด์ (คริสเตียนและโลก) ดังนี้: “หากจะว่ากันในแง่ลบ โลก ถูกมองว่าเป็น . . . ขอบเขตที่อำนาจปกครองซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าดำเนินกิจของตน และเป็นขอบเขตที่ได้มีการรวมตัวกันเป็นจักรวรรดิแห่งอริราชศัตรูภายใต้การควบคุมของซาตาน โดยต่อต้านการปกครองที่ได้ชัยชนะของพระคริสต์.” “โลก” นี้เป็นมวลหมู่แห่งมนุษยชาติที่เหินห่างจากพระเจ้า. คริสเตียนแท้ไม่เป็นส่วนของโลก และโลกนี้เกลียดชังพวกเขา.
3 เมื่อจวนจะสิ้นศตวรรษแรก โยฮันคิดถึงโลกแบบนี้เมื่อท่านเขียนว่า “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก. ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดามิได้อยู่ในผู้นั้นเลย; เพราะสารพัดสิ่งที่มีอยู่ในโลก—คือความปรารถนาของเนื้อหนัง, ความปรารถนาของตา, และการอวดอ้างปัจจัยการดำรงชีวิตของตน—ไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก.” (1 โยฮัน 2:15, 16, ล.ม.) ท่านเขียนอีกว่า “เรารู้ว่าเราบังเกิดจากพระเจ้า แต่โลกทั้งสิ้นตกอยู่ใต้อำนาจผู้ชั่วร้ายนั้น.” (1 โยฮัน 5:19, ล.ม.) พระเยซูเองทรงเรียกซาตานว่า “ผู้ครองโลกนี้.”—โยฮัน 12:31; 16:11.
การเติบโตของมหาอำนาจโลก
4. มหาอำนาจโลกเริ่มมีขึ้นอย่างไร?
4 โลกแห่งมนุษยชาติที่ดำรงอยู่เวลานี้ซึ่งเหินห่างจากพระเจ้าได้เริ่มต้นก่อตัวขึ้นไม่นานหลังน้ำท่วมโลกในสมัยโนฮา เมื่อลูกหลานเป็นอันมากของโนฮาเลิกเสียจากการนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้า. คนที่นับว่าเด่นในสมัยแรก ๆ ได้แก่นิมโรด ผู้สร้างเมืองขนาดใหญ่และเป็น “พรานผู้มีกำลังมากต่อต้านพระยะโฮวา.” (เยเนซิศ 10:8-12, ล.ม.) ในสมัยนั้น ส่วนใหญ่ของโลกดังกล่าวถูกจัดแบ่งการปกครองเป็นอาณาจักรเมืองเล็ก ๆ ซึ่งในบางครั้งก็รวมตัวกันและประกาศสงครามกับเมืองอื่น ๆ. (เยเนซิศ 14:1-9) อาณาจักรเมืองบางแห่งแผ่อิทธิพลเหนืออาณาจักรเมืองอื่น ๆ แล้วกลายเป็นอำนาจปกครองแคว้น. ในที่สุด อำนาจปกครองแคว้นบางแห่งก็เติบโตไปเป็นมหาอำนาจโลกที่ยิ่งใหญ่.
5, 6. (ก) มหาอำนาจโลกทั้งเจ็ดตามประวัติศาสตร์ในคัมภีร์ไบเบิลได้แก่มหาอำนาจใดบ้าง? (ข) มีการให้ภาพสัญลักษณ์ของมหาอำนาจโลกเหล่านี้อย่างไร และมหาอำนาจเหล่านี้ได้อำนาจจากไหน?
5 โดยติดตามแบบอย่างของนิมโรด ผู้ปกครองแห่งมหาอำนาจโลกทั้งหลายไม่นมัสการพระยะโฮวา ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้จากการกระทำอันโหดร้ายทารุณของพวกเขา. ในพระคัมภีร์มีการให้ภาพสัญลักษณ์แก่มหาอำนาจโลกเหล่านี้ว่าเป็นเช่นสัตว์ป่า และตลอดหลายศตวรรษ คัมภีร์ไบเบิลระบุหกมหาอำนาจที่เคยก่อผลกระทบอย่างมากต่อไพร่พลของพระยะโฮวา. มหาอำนาจเหล่านี้ได้แก่ อียิปต์, อัสซีเรีย, บาบูโลน, เมโด-เปอร์เซีย, กรีซ, และโรม. มีคำพยากรณ์ไว้ว่าถัดจากโรม มหาอำนาจที่เจ็ดจะขึ้นมามีอำนาจ. (ดานิเอล 7:3-7; 8:3-7, 20, 21; วิวรณ์ 17:9, 10) นั่นก็ได้แก่มหาอำนาจโลกแองโกล-อเมริกัน ซึ่งประกอบด้วยจักรวรรดิบริเตนกับคู่พันธมิตรคือสหรัฐ ซึ่งในที่สุดก็มีอำนาจเหนือกว่าบริเตน. จักรวรรดิบริเตนเริ่มรุ่งเรืองขึ้นมาหลังจากที่ร่องรอยสุดท้ายของจักรวรรดิโรมันสูญสลายไปในที่สุด.a
6 พระธรรมวิวรณ์ได้ให้ภาพสัญลักษณ์ของมหาอำนาจโลกทั้งเจ็ดที่สืบต่อกันมาเป็นหัวของสัตว์ร้ายเจ็ดหัวซึ่งขึ้นมาจากทะเลแห่งมนุษยชาติที่ปั่นป่วน. (ยะซายา 17:12, 13; 57:20, 21; วิวรณ์ 13:1) ใครให้อำนาจปกครองแก่สัตว์ร้ายนี้? คัมภีร์ไบเบิลตอบว่า “พญานาคได้ให้ฤทธิ์เดชและบัลลังก์และอำนาจใหญ่ยิ่งแก่ สัตว์ร้าย นั้น.” (วิวรณ์ 13:2, ล.ม.) พญานาคนั้นไม่ใช่ผู้ใดอื่นนอกจากซาตานพญามารนั่นเอง.—ลูกา 4:5, 6; วิวรณ์ 12:9.
การปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าที่ใกล้เข้ามา
7. คริสเตียนมีความหวังในเรื่องใด และเรื่องนี้มีผลต่อความสัมพันธ์ของพวกเขากับรัฐบาลของโลกนี้อย่างไร?
7 เป็นเวลาเกือบ 2,000 ปี คริสเตียนเฝ้าอธิษฐานดังนี้: “ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเถิด. พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จแล้วในสวรรค์อย่างไร ก็ขอให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกอย่างนั้น.” (มัดธาย 6:10, ล.ม.) พยานพระยะโฮวาทราบว่าเฉพาะราชอาณาจักรของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำสันติสุขแท้มาสู่แผ่นดินโลก. ด้วยการเป็นผู้สังเกตเหตุการณ์ตามคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลอย่างใกล้ชิด พวกเขามั่นใจว่าคำอธิษฐานนี้ไม่ช้าจะได้รับคำตอบ และอีกไม่นานราชอาณาจักรก็จะเข้ามาดูแลกิจการทั้งหลายของแผ่นดินโลก. (ดานิเอล 2:44) การรักษาความภักดีต่อราชอาณาจักรนี้ทำให้พวกเขารักษาความเป็นกลางในกิจการของรัฐบาลแห่งโลกนี้.
8. รัฐบาลต่าง ๆ มีปฏิกิริยาต่อการปกครองของราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร ดังที่บอกล่วงหน้าไว้ในเพลงสรรเสริญบท 2?
8 บางชาติอ้างว่าปฏิบัติตามหลักศาสนา. ถึงกระนั้น ในทางปฏิบัติพวกเขาเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า พระยะโฮวาทรงเป็นองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ และข้อที่ว่าพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งพระเยซูเป็นกษัตริย์ทางภาคสวรรค์ด้วยสิทธิอำนาจเหนือแผ่นดินโลก. (ดานิเอล 4:17; วิวรณ์ 11:15) เพลงสรรเสริญเชิงพยากรณ์ตอนหนึ่งกล่าวดังนี้: “กษัตริย์ในแผ่นดินโลกตั้งใจขัดขืน, และเจ้านายปรึกษากัน, ขัดขวางพระยะโฮวาและต่อสู้ผู้ถูกเจิมของพระองค์ [พระเยซู], ว่า, ให้เราทั้งหลายหักเครื่องจำจองของเขาเสียและจงทิ้งเชือกมัดของเขาเสียจากเราเถิด.” (บทเพลงสรรเสริญ 2:2, 3) รัฐบาลต่าง ๆ ไม่ยอมรับ “เครื่องจำจอง” หรือ “เชือกมัด” ของพระเจ้า ซึ่งจำกัดการใช้อำนาจอธิปไตยแห่งชาติของพวกเขา. ฉะนั้น พระยะโฮวาตรัสกับพระเยซูผู้เป็นกษัตริย์ซึ่งพระองค์ทรงเลือกว่า “จงขอจากเรา เพื่อเราจะมอบชาติทั้งหลายให้เป็นมรดกของท่าน และที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลกให้เป็นสมบัติของท่าน. ท่านจะตีพวกเขาให้แตกด้วยคทาเหล็ก ท่านจะฟาดเขาให้แหลกดุจภาชนะของช่างหม้อ.” (บทเพลงสรรเสริญ 2:8, 9, ล.ม.) อย่างไรก็ตาม โลกแห่งมนุษยชาติซึ่งพระเยซูทรงวายพระชนม์เพื่อพวกเขาจะไม่ถูก ‘ตีให้แตก’ อย่างสิ้นเชิง.—โยฮัน 3:17.
การหลีกเว้น “เครื่องหมาย” ของ “สัตว์ร้าย”
9, 10. (ก) เราได้รับคำเตือนเกี่ยวกับอะไรในพระธรรมวิวรณ์? (ข) การรับ ‘เครื่องหมายของสัตว์ร้าย’ เป็นสัญลักษณ์บ่งถึงอะไร? (ค) ผู้รับใช้พระเจ้ายอมรับเอาเครื่องหมายอะไร?
9 พระธรรมวิวรณ์ซึ่งอัครสาวกโยฮันได้รับ เตือนว่าโลกแห่งมนุษยชาติที่เหินห่างจากพระเจ้าจะเรียกร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนอวสานของมัน โดย “บังคับคนทั้งปวงทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ คนร่ำรวยและคนยากจน และไทยและทาส เพื่อคนเหล่านี้จะได้รับเครื่องหมายที่มือขวาหรือที่หน้าผากของเขา และเพื่อไม่มีผู้ใดจะซื้อหรือขายได้นอกจากคนที่มีเครื่องหมายนั้น.” (วิวรณ์ 13:16, 17, ล.ม.) เรื่องนี้มีความหมายอย่างไร? เครื่องหมายที่มือขวาเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะเจาะของการสนับสนุนอย่างขันแข็ง. จะว่าอย่างไรสำหรับเครื่องหมายบนหน้าผาก? พจนานุกรมอรรถาธิบายพระคัมภีร์ภาคภาษากรีก กล่าวดังนี้: “การพูดเป็นนัยแบบนี้พาดพิงถึงประเพณีปฏิบัติในการหมายทหารหรือทาสด้วยรอยสักหรือการตีตราอย่างที่ให้เห็นได้ชัด . . . ; หรือที่ชัดยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ ธรรมเนียมทางศาสนาในการนำพระนามของพระเจ้ามาสวมใส่เป็นวัตถุมงคล.” หลายคนสวมเครื่องหมายนี้ในความหมายเป็นนัยโดยการกระทำและคำพูดของเขา ซึ่งระบุตัวเองว่าเป็น “ทาส” หรือ “ทหาร” ของ “สัตว์ร้าย.” (วิวรณ์ 13:3, 4) สำหรับอนาคตของคนเหล่านี้นั้น พจนานุกรมเทววิทยาของคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวไว้ดังนี้: “เหล่าศัตรูของพระเจ้ายอมให้ประทับตรา [เครื่องหมาย] ของสัตว์ร้าย ตัวเลขลึกลับซึ่งมีชื่อของมันอยู่ในนั้น บนหน้าผากและมือข้างหนึ่งของเขา. ทั้งนี้ทำให้พวกเขามีโอกาสก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการค้า แต่นำพระพิโรธของพระเจ้ามาสู่พวกเขาและกันเขาไว้จากราชอาณาจักรพันปี, วิ. 13:16; 14:9; 20:4.”
10 ต้องใช้ความกล้าหาญและความเพียรอดทนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อต้านทานแรงกดดันให้รับเอา “เครื่องหมาย” นั้น. (วิวรณ์ 14:9-12, ล.ม.) อย่างไรก็ตาม ผู้รับใช้พระเจ้ามีความเข้มแข็งเช่นนั้น และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมักจะถูกเกลียดชังและถูกให้ร้าย. (โยฮัน 15:18-20; 17:14, 15) แทนที่จะรับเครื่องหมายของสัตว์ร้าย ยะซายากล่าวว่า พวกเขาจะเขียนบนมือของตนอย่างเป็นนัยว่า “คนของพระยะโฮวา.” (ยะซายา 44:5) นอกจากนั้น เนื่องจากพวกเขา “ร้องคราง” เพราะสิ่งน่าชิงชังรังเกียจซึ่งศาสนาที่ออกหากได้ทำ พวกเขาจึงรับเครื่องหมายโดยนัยบนหน้าผากซึ่งเป็นการระบุตัวเขาว่าสมควรได้รับการสงวนชีวิตในคราวการสำเร็จโทษตามการพิพากษาของพระยะโฮวา.—ยะเอศเคล 9:1-7.
11. ใครอนุญาตให้รัฐบาลมนุษย์ปกครองจนกว่าราชอาณาจักรของพระเจ้ามาปกครองเหนือแผ่นดินโลกนี้?
11 พระเจ้าทรงอนุญาตรัฐบาลมนุษย์ให้ปกครองจนกระทั่งถึงเวลาที่ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ของพระคริสต์เข้าปกครองแผ่นดินโลกนี้อย่างสิ้นเชิง. การที่พระเจ้าทรงยินยอมให้กับรัฐทางการเมืองเช่นนั้น มีการกล่าวถึงโดยศาสตราจารย์ออสการ์ คุลล์มันน์ ในหนังสือของเขาที่ชื่อรัฐในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ (ภาษาอังกฤษ). เขาเขียนดังนี้: “แนวคิดที่ซับซ้อนเกี่ยวกับลักษณะ ‘เฉพาะกาล’ ของรัฐเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมทัศนะของคริสเตียนในยุคแรกที่มีต่อรัฐจึงไม่สอดคล้องต้องกัน แต่ดูราว กับว่าขัดแย้งกัน. ข้าพเจ้าขอเน้นว่า ดูราว กับว่าขัดแย้งกัน. เท่าที่เราจำเป็นต้องทำคืออ้างถึงโรม 13:1 ที่ว่า ‘ให้ทุกคนยอมอยู่ใต้อำนาจที่ . . . ’ ควบคู่กันไปกับวิวรณ์บท 13 ที่กล่าวถึงรัฐเป็นดุจสัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากเหว.”
“สัตว์ร้าย” และ “ซีซาร์”
12. พยานพระยะโฮวามีทัศนะที่สมดุลเช่นไรต่อรัฐบาลของมนุษย์?
12 คงไม่ถูกที่จะสรุปว่า ทุกคนที่อยู่ในส่วนของอำนาจรัฐเป็นเครื่องมือที่ซาตานใช้. หลายคนพิสูจน์ตัวว่าเป็นคนมีหลักการ อย่างเช่นผู้สำเร็จราชการเซระเฆียวเปาโลซึ่งมีพรรณนาในคัมภีร์ไบเบิลถึงเขาว่าเป็น “ผู้มีความรู้.” (กิจการ 13:7) ผู้ปกครองบ้านเมืองบางคนได้ปกป้องสิทธิของคนกลุ่มน้อยอย่างกล้าหาญ ทั้งนี้โดยได้รับการนำจากสติรู้สึกผิดชอบที่ติดตัวมาแต่เกิด แม้ว่าเขาไม่รู้จักพระยะโฮวาและพระประสงค์ของพระองค์. (โรม 2:14, 15) พึงจำไว้ว่า คัมภีร์ไบเบิลใช้คำ “โลก” ในสองแนวที่แตกต่างกันนั่นคือ โลกแห่งมนุษยชาติซึ่งพระเจ้าทรงรักและเราควรรัก และโลกแห่งมนุษยชาติที่เหินห่างจากพระยะโฮวาซึ่งซาตานเป็นพระเจ้าของพวกเขาและเป็นโลกที่เราต้องอยู่ต่างหาก. (โยฮัน 1:9, 10; 17:14; 2 โกรินโธ 4:4; ยาโกโบ 4:4) ฉะนั้น ผู้รับใช้ของพระยะโฮวามีเจตคติที่สมดุลต่อการปกครองของมนุษย์. เราเป็นกลางในเรื่องทางการเมือง เนื่องจากเรารับใช้เป็นราชทูตหรืออุปทูตแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า และชีวิตของเราอุทิศแด่พระเจ้า. (2 โกรินโธ 5:20) ในอีกด้านหนึ่ง เรายอมอยู่ใต้อำนาจผู้มีอำนาจตามสติรู้สึกผิดชอบของเรา.
13. (ก) พระยะโฮวาทรงมองดูรัฐบาลทั้งหลายของมนุษย์อย่างไร? (ข) คริสเตียนอยู่ภายใต้อำนาจรัฐบาลมนุษย์ถึงขีดไหน?
13 ท่าทีที่สมดุลแบบนี้สะท้อนทัศนะของพระยะโฮวาพระเจ้าเอง. เมื่อมหาอำนาจโลกหรือแม้แต่รัฐเล็ก ๆ ใช้อำนาจของตนอย่างผิด ๆ กดขี่ประชาชนของตนหรือข่มเหงผู้นมัสการพระเจ้า ก็ย่อมสมควรแล้วที่พวกเขาถูกพรรณนาเชิงพยากรณ์ว่าเป็นสัตว์ร้าย. (ดานิเอล 7:19-21; วิวรณ์ 11:7) อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลของชาติต่าง ๆ รับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าในการรักษากฎหมายและความเป็นระเบียบให้ดำเนินไปตามความยุติธรรม พระองค์ทรงถือว่าพวกเขาเป็น “ผู้รับใช้ของพระเจ้า เพื่อสาธารณประโยชน์.” (โรม 13:6, ล.ม.) พระยะโฮวาทรงคาดหมายไพร่พลของพระองค์ให้นับถือรัฐบาลมนุษย์และอยู่ใต้อำนาจของพวกเขา แต่การอยู่ใต้อำนาจนั้นก็หาใช่โดยปราศจากขีดจำกัด. เมื่อมนุษย์เรียกร้องผู้รับใช้พระเจ้าให้ทำสิ่งที่กฎหมายของพระเจ้าห้าม หรือเมื่อมนุษย์ห้ามทำสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องให้ผู้รับใช้พระองค์ทำ ผู้รับใช้เหล่านั้นยึดจุดยืนอย่างเดียวกันกับบรรดาอัครสาวก กล่าวคือ “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะเป็นผู้ครอบครองยิ่งกว่ามนุษย์.”—กิจการ 5:29, ล.ม.
14. การที่คริสเตียนอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลมนุษย์ได้รับการอธิบายอย่างไรจากพระเยซู? จากเปาโล?
14 พระเยซูตรัสว่าสาวกของพระองค์มีพันธะทั้งต่อรัฐบาลและต่อพระเจ้าเมื่อพระองค์ตรัสดังนี้: “ฉะนั้น ของของซีซาร์ จงใช้คืนแก่ซีซาร์ แต่ของของพระเจ้าแด่พระเจ้า.” (มัดธาย 22:21, ล.ม.) อัครสาวกเปาโลเขียนภายใต้การดลใจดังนี้: “จงให้ทุกคนยอมอยู่ใต้อำนาจที่สูงกว่า . . . แต่ถ้าท่านกระทำการชั่ว ก็จงกลัว: เพราะอำนาจนั้นหาได้ถือดาบโดยไม่มีจุดมุ่งหมายไม่; เพราะอำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เป็นผู้แก้แค้นลงพระอาชญาแก่คนกระทำชั่ว. เหตุฉะนั้นมีเหตุผลอันเหลือที่จะขัดขืนได้ในเรื่องที่ท่านทั้งหลายจะอยู่ใต้อำนาจ มิใช่เพราะอาชญาอย่างเดียว แต่เพราะเหตุสติรู้สึกผิดชอบของท่านด้วย. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเสียภาษีด้วย.” (โรม 13:1, 4-6, ล.ม.) ตั้งแต่ศตวรรษแรกจนถึงปัจจุบัน คริสเตียนจำต้องคิดให้ดีถึงข้อเรียกร้องของรัฐ. พวกเขาต้องมีความหยั่งเห็นเข้าใจว่าการทำตามข้อเรียกร้องเหล่านั้นจะนำไปสู่การอะลุ่มอล่วยในเรื่องการนมัสการของเขาหรือไม่ หรือคำสั่งเหล่านั้นถูกทำนองคลองธรรมและควรปฏิบัติตามอย่างจริงจัง.
ประชากรที่ปฏิบัติตามสติรู้สึกผิดชอบอย่างจริงจัง
15. พยานพระยะโฮวาจ่ายคืนแก่ซีซาร์ตามสติรู้สึกผิดชอบในส่วนที่พวกเขาเป็นหนี้ต่อซีซาร์อย่างไร?
15 “อำนาจที่สูงกว่า” ทางการเมืองเป็น “ผู้รับใช้” ของพระเจ้า เมื่อพวกเขาทำตามบทบาทของตนอันเป็นที่ชอบต่อพระเจ้าให้สำเร็จ ซึ่งก็รวมถึงอำนาจในการ “ลงโทษผู้ที่กระทำชั่ว แต่ยกย่องผู้ที่กระทำดี.” (1 เปโตร 2:13, 14, ล.ม.) ผู้รับใช้พระยะโฮวาสำนึกในหน้าที่ต้องจ่ายคืนแก่ซีซาร์ในสิ่งที่เขามีสิทธิ์เรียกเอาในรูปภาษี และพวกเขาทำเท่าที่สติรู้สึกผิดชอบซึ่งได้รับการฝึกจากคัมภีร์ไบเบิลจะอนุญาตให้ทำได้ในการ “เชื่อฟังรัฐบาลและผู้มีอำนาจที่เป็นผู้ปกครอง . . . พร้อมสำหรับการงานที่ดีทุกอย่าง.” (ติโต 3:1, ล.ม.) “การงานที่ดี” หมายรวมถึงการช่วยคนอื่น อย่างเช่นในยามที่เกิดภัยธรรมชาติ. หลายคนยืนยันจากประสบการณ์ของตนในเรื่องความกรุณาที่พยานพระยะโฮวาได้แสดงต่อเพื่อนมนุษย์ในสถานการณ์เช่นนั้น.—ฆะลาเตีย 6:10.
16. การงานที่ดีอะไรที่พยานพระยะโฮวาทำอย่างจริงจังเพื่อรัฐบาลและเพื่อนมนุษย์?
16 พยานพระยะโฮวารักเพื่อนมนุษย์และสำนึกว่าการงานที่ดีที่สุดที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อเพื่อนมนุษย์คือการช่วยพวกเขาให้ได้รับความรู้ถ่องแท้เกี่ยวด้วยพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะนำมาซึ่ง “ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” อันชอบธรรม. (2 เปโตร 3:13, ล.ม.) โดยการสอนและปฏิบัติตามหลักการอันสูงส่งด้านศีลธรรมของคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาเป็นประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์ โดยช่วยคนมากมายที่เอาใจใส่ในหลักการเหล่านี้ไม่ให้หลงผิด. ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาเคารพกฎหมายและแสดงความนับถือต่อรัฐมนตรีของรัฐบาล, เจ้าหน้าที่, ผู้พิพากษา, และผู้ปกครองเมือง ให้เกียรติยศแก่ ‘ผู้ที่เรียกร้องเกียรติยศ.’ (โรม 13:7, ล.ม.) บิดามารดาที่เป็นพยานฯ ยินดีร่วมมือกับครูที่โรงเรียนของลูก ๆ และช่วยลูกให้เรียนดี เพื่อว่าในภายหลังพวกเขาจะสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้และไม่เป็นภาระของสังคม. (1 เธซะโลนิเก 4:11, 12) ภายในประชาคม พยานฯ ต่อต้านอคติทางเชื้อชาติและการแยกชั้นวรรณะ และพวกเขาให้ความสำคัญอย่างมากต่อการเสริมสร้างชีวิตครอบครัวให้แข็งแรง. (กิจการ 10:34, 35; โกโลซาย 3:18-21) ฉะนั้น ด้วยการกระทำ พวกเขาแสดงให้เห็นว่าข้อกล่าวหาต่อพวกเขาในเรื่องการต่อต้านครอบครัวหรือไม่ช่วยเหลือสังคมนั้นไม่เป็นความจริง. ด้วยเหตุนี้ คำพูดของอัครสาวกเปโตรจึงปรากฏเป็นจริงที่ว่า “น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือว่า โดยการกระทำดี ท่านทั้งหลายอาจระงับคำพูดที่โง่เขลาของคนที่ไม่มีเหตุผล.”—1 เปโตร 2:15, ล.ม.
17. คริสเตียนสามารถ “ดำเนินการกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา” ต่อ ๆ ไปได้อย่างไร?
17 ดังนั้น ในขณะที่สาวกแท้ของพระคริสต์ “ไม่เป็นส่วนของโลก” พวกเขายังคงอยู่ในโลกแห่งสังคมมนุษย์ และต้อง “ดำเนินการกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา.” (โยฮัน 17:16, ล.ม.; โกโลซาย 4:5) ตราบใดที่พระยะโฮวาทรงอนุญาตผู้มีอำนาจที่สูงกว่าให้ทำหน้าที่ในฐานะผู้รับใช้ของพระองค์ ตราบนั้นเราจะแสดงความนับถืออย่างเหมาะสมต่อพวกเขา. (โรม 13:1-4) ขณะที่รักษาตัวเป็นกลางในทางการเมือง เราอธิษฐานขอเกี่ยวกับ ‘กษัตริย์ทั้งหลายและบรรดาผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนเหล่านี้ต้องทำการตัดสินซึ่งอาจกระทบกระเทือนเสรีภาพแห่งการนมัสการ. เราจะทำเช่นนี้ต่อไป “เพื่อว่าเราจะได้ดำเนินชีวิตที่สงบเงียบด้วยความเลื่อมใสอย่างเต็มเปี่ยมในพระเจ้าและอย่างจริงจัง” เพื่อ “คนทุกชนิดรับความรอด.”—1 ติโมเธียว 2:1-4, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a ดูหนังสือพระธรรมวิวรณ์—ใกล้จะถึงจุดสุดยอด! บท 35 จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์แห่งนิวยอร์ก.
คำถามทบทวน
▫ คริสเตียนเป็นส่วนหนึ่งของ “โลก” ไหน แต่ “โลก” ไหนซึ่งพวกเขาไม่อาจเป็นส่วนด้วยได้?
▫ “เครื่องหมาย” ของ “สัตว์ร้าย” บนมือและหน้าผากของคนใดคนหนึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกอะไร และผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวามีเครื่องหมายอะไร?
▫ คริสเตียนแท้มีทัศนะที่สมดุลเช่นไรต่อรัฐบาลมนุษย์?
▫ พยานพระยะโฮวาส่งเสริมสวัสดิภาพของสังคมมนุษย์ในทางใดบ้าง?
[รูปภาพหน้า 16]
คัมภีร์ไบเบิลระบุว่ารัฐบาลมนุษย์เป็นทั้งผู้รับใช้ของพระเจ้าและสัตว์ร้าย
[รูปภาพหน้า 17]
ด้วยการแสดงความห่วงใยอันเปี่ยมด้วยความรักต่อคนอื่น พยานพระยะโฮวาเป็นประโยชน์ต่อชุมชน