พงศ์กษัตริย์ฉบับที่หนึ่ง
1 เมื่อกษัตริย์ดาวิดอายุมากแล้ว+ พวกเขาเอาผ้าหลายผืนมาห่มให้ แต่ดาวิดก็ยังไม่รู้สึกอุ่น 2 ข้าราชสำนักจึงพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอให้ส่งคนไปหาหญิงสาวบริสุทธิ์คนหนึ่งมาให้กษัตริย์ผู้เป็นนายของผม เธอจะได้ดูแลท่าน และท่านจะได้นอนกอดเธอเพื่อจะอบอุ่น” 3 พวกเขาไปเสาะหาหญิงงามทั่วประเทศอิสราเอล แล้วก็พบอาบีชาก+ชาวชูเนม+ จึงพามาให้กษัตริย์ 4 หญิงสาวคนนี้สวยมาก เธอได้มาเป็นผู้ดูแลรับใช้กษัตริย์ แต่กษัตริย์ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ
5 ตอนนั้นอาโดนียาห์+ลูกนางฮักกีทก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ และประกาศว่า “เราจะเป็นกษัตริย์!” เขาสั่งทำรถศึกให้ตัวเอง ให้มีคนขี่ม้าตาม และมี 50 คนวิ่งนำขบวน+ 6 แต่ดาวิดพ่อของเขาไม่เคยห้ามปราม*หรือพูดว่า “ทำไมทำแบบนี้?” อาโดนียาห์เป็นคนรูปหล่อมาก เขาเกิดถัดจากอับซาโลม 7 อาโดนียาห์ปรึกษากับโยอาบลูกนางเศรุยาห์ และปรึกษากับปุโรหิตอาบียาธาร์+ สองคนนี้บอกว่าจะช่วยสนับสนุนเขา+ 8 แต่ปุโรหิตศาโดก+ เบไนยาห์+ลูกเยโฮยาดา ผู้พยากรณ์นาธัน+ ชิเมอี+ เรอี และเหล่านักรบฝีมือดี+ของดาวิดไม่สนับสนุนอาโดนียาห์
9 วันหนึ่ง อาโดนียาห์เอาแกะ วัว และสัตว์ที่ขุนจนอ้วนมาถวายเป็นเครื่องบูชา+ที่หินโศเฮเลทใกล้น้ำพุเอนโรเกล เขาเชิญพี่น้องทุกคนที่เป็นลูกชายกษัตริย์และชาวยูดาห์ทุกคนที่เป็นข้าราชสำนักมาร่วมงานด้วย 10 แต่เขาไม่เชิญผู้พยากรณ์นาธัน เบไนยาห์ พวกนักรบที่เก่งกล้า และโซโลมอนน้องชายของตัวเอง 11 นาธัน+จึงไปพูดกับบัทเชบา+ แม่ของโซโลมอน+ว่า “ท่านได้ยินไหมว่าอาโดนียาห์+ลูกนางฮักกีทขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว และดาวิดนายของเราไม่รู้เรื่องนี้เลย? 12 ดังนั้น โปรดฟังคำแนะนำของผม เพื่อท่านจะรักษาชีวิตของท่านกับชีวิตของโซโลมอนลูกของท่านไว้+ 13 ขอให้ท่านไปหากษัตริย์ดาวิดและบอกว่า ‘ท่านเคยสาบานกับดิฉันไม่ใช่หรือว่า โซโลมอนลูกของดิฉันจะเป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน และเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์ของท่าน?+ แต่ทำไมตอนนี้อาโดนียาห์ได้เป็นกษัตริย์แล้ว?’ 14 ตอนที่ท่านกำลังพูดกับกษัตริย์อยู่ ผมจะตามเข้าไปยืนยันคำพูดของท่าน”
15 บัทเชบาจึงเข้าไปหากษัตริย์ในห้องนอน กษัตริย์อายุมากแล้ว และอาบีชาก+ชาวชูเนมคอยรับใช้อยู่ 16 บัทเชบาหมอบลงทำความเคารพกษัตริย์ กษัตริย์ก็พูดว่า “เธอต้องการอะไรหรือ?” 17 เธอตอบว่า “ท่านเคยสาบานกับดิฉันต่อหน้าพระยะโฮวาพระเจ้าว่า โซโลมอนลูกของดิฉันจะเป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน และเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์ของท่าน+ 18 แต่ตอนนี้อาโดนียาห์เป็นกษัตริย์แล้ว และท่านผู้เป็นนายของดิฉันก็ไม่รู้เรื่องนี้เลย+ 19 เขาเอาวัวกับสัตว์ที่ขุนจนอ้วน รวมทั้งแกะมากมายไปถวายเป็นเครื่องบูชา แล้วเชิญลูกชายกษัตริย์ทุกคน ปุโรหิตอาบียาธาร์ และแม่ทัพโยอาบด้วย+ แต่เขาไม่ได้เชิญโซโลมอนผู้รับใช้ของท่าน+ 20 กษัตริย์ผู้เป็นนายของดิฉัน ตอนนี้สายตาทุกคู่ในอิสราเอลจับจ้องท่านอยู่ รอให้ท่านบอกว่าใครจะขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากท่าน 21 ไม่อย่างนั้น พอกษัตริย์ผู้เป็นนายของดิฉันไปอยู่กับปู่ย่าตายายแล้ว ดิฉันกับโซโลมอนจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ”
22 ตอนที่บัทเชบาพูดกับกษัตริย์อยู่นั้น ผู้พยากรณ์นาธันก็เข้ามา+ 23 มีคนบอกกษัตริย์ว่า “ผู้พยากรณ์นาธันมาหาท่าน” เขาก็เข้ามาและหมอบลงกับพื้นทำความเคารพกษัตริย์ 24 นาธันพูดว่า “กษัตริย์ผู้เป็นนายของผม ท่านบอกว่าอาโดนียาห์จะเป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน และท่านจะให้เขานั่งบนบัลลังก์ของท่านอย่างนั้นหรือ?+ 25 เพราะวันนี้เขาเอาวัว สัตว์ที่ขุนจนอ้วน และแกะมากมายไปถวายเป็นเครื่องบูชา+ เขาเชิญลูกชายทุกคนของกษัตริย์ พวกแม่ทัพ และปุโรหิตอาบียาธาร์ไปด้วย+ คนพวกนั้นกำลังกินเลี้ยงอยู่กับเขา พวกเขาโห่ร้องไม่หยุดว่า ‘ขอให้กษัตริย์อาโดนียาห์อายุยืนยาว!’ 26 แต่เขาไม่เชิญผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่าน ปุโรหิตศาโดก เบไนยาห์+ลูกเยโฮยาดา และโซโลมอนผู้รับใช้ของท่าน 27 กษัตริย์ผู้เป็นนายของผมอนุญาตให้เขาทำอย่างนี้หรือ ทั้ง ๆ ที่ท่านยังไม่ได้บอกผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่านเลยว่าใครจะนั่งบัลลังก์ต่อจากท่าน?”
28 กษัตริย์ดาวิดจึงพูดว่า “เรียกบัทเชบาเข้ามา” แล้วเธอก็เข้ามายืนต่อหน้ากษัตริย์ 29 กษัตริย์พูดว่า “เราขอสาบานต่อพระยะโฮวาผู้มีชีวิตอยู่และผู้ช่วยให้เราพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายว่า+ 30 วันนี้เราจะทำตามที่สาบานไว้กับเธอแน่ เพราะเราเคยสาบานต่อหน้าพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลว่า ‘โซโลมอนลูกของเธอจะได้เป็นกษัตริย์ต่อจากเรา และเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์แทนเรา’” 31 บัทเชบาจึงหมอบลงกับพื้นทำความเคารพกษัตริย์และพูดว่า “ขอให้กษัตริย์ดาวิดผู้เป็นนายของดิฉันอายุยืนยาวตลอดไป!”
32 แล้วกษัตริย์ดาวิดก็สั่งว่า “ไปเรียกปุโรหิตศาโดก ผู้พยากรณ์นาธัน กับเบไนยาห์+ลูกเยโฮยาดา+เข้ามา” ทั้งสามคนจึงมาหากษัตริย์ 33 กษัตริย์สั่งพวกเขาว่า “พาพวกคนรับใช้ของเราไป แล้วให้โซโลมอนลูกของเรานั่งบนล่อ*ของเรา+ และพาเขาลงไปที่น้ำพุกีโฮน+ 34 ที่นั่นปุโรหิตศาโดกและผู้พยากรณ์นาธันจะเจิมเขา+เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล แล้วให้เป่าแตรเขาสัตว์และประกาศว่า ‘ขอให้กษัตริย์โซโลมอนอายุยืนยาว!’+ 35 แล้วเดินตามเขากลับมา เขาจะมานั่งบนบัลลังก์ของเราและเป็นกษัตริย์แทนเรา เราจะตั้งเขาให้เป็นผู้นำของอิสราเอลและยูดาห์” 36 เบไนยาห์ลูกเยโฮยาดาก็ตอบกษัตริย์ว่า “อาเมน ขอพระยะโฮวาพระเจ้าของกษัตริย์ผู้เป็นนายของผมรับรองคำพูดนี้ด้วยเถอะ 37 พระยะโฮวาเคยอยู่กับกษัตริย์ผู้เป็นนายของผมอย่างไร ก็ขอให้อยู่กับโซโลมอนอย่างนั้น+ และทำให้บัลลังก์ของโซโลมอนยิ่งใหญ่กว่าบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดผู้เป็นนายของผม”+
38 แล้วปุโรหิตศาโดก ผู้พยากรณ์นาธัน เบไนยาห์+ลูกเยโฮยาดา พวกเคเรธี และพวกเปเลท+ จึงลงไปหาโซโลมอน ให้เขาขี่ล่อของกษัตริย์ดาวิด+และพาไปที่น้ำพุกีโฮน+ 39 แล้วปุโรหิตศาโดกก็เอาเขาสัตว์ใส่น้ำมัน+ออกมาจากเต็นท์+และเจิมโซโลมอน+ แล้วพวกเขาก็เป่าแตรเขาสัตว์และประชาชนทุกคนจึงเริ่มโห่ร้องว่า “ขอให้กษัตริย์โซโลมอนอายุยืนยาว!” 40 หลังจากนั้น ประชาชนทุกคนก็ตามโซโลมอนขึ้นไป พวกเขาเป่าขลุ่ยและรื่นเริงยินดีมาก พวกเขาส่งเสียงดังจนแผ่นดินสั่นสะเทือน+
41 อาโดนียาห์และทุกคนที่เขาเชิญไปร่วมงานได้ยินเสียงนั้นเมื่อพวกเขากินเลี้ยงเสร็จ+ พอโยอาบได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์ก็ถามว่า “ทำไมในเมืองมีเสียงดังวุ่นวายอย่างนี้?” 42 เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ โยนาธาน+ลูกของปุโรหิตอาบียาธาร์ก็เข้ามา อาโดนียาห์จึงพูดว่า “เข้ามาสิ ท่านเป็นคนดี ท่านคงจะเอาข่าวดีมาบอก” 43 แต่โยนาธานตอบอาโดนียาห์ว่า “ไม่ใช่ครับ กษัตริย์ดาวิดนายของพวกเราได้ตั้งโซโลมอนเป็นกษัตริย์แล้ว! 44 กษัตริย์ให้ปุโรหิตศาโดก ผู้พยากรณ์นาธัน เบไนยาห์ลูกเยโฮยาดา พวกเคเรธี และพวกเปเลทไปกับโซโลมอน และพวกเขาให้โซโลมอนขี่ล่อของกษัตริย์+ 45 แล้วปุโรหิตศาโดกกับผู้พยากรณ์นาธันก็เจิมเขาเป็นกษัตริย์ที่น้ำพุกีโฮน หลังจากนั้น พวกเขากลับขึ้นไปด้วยความยินดี และคนทั้งเมืองก็โห่ร้องเสียงดังอย่างที่ท่านได้ยินนั่นแหละ 46 ไม่ใช่แค่นั้น โซโลมอนยังได้นั่งบนบัลลังก์ของกษัตริย์ด้วย 47 แม้แต่พวกข้าราชสำนักก็มาแสดงความยินดีกับกษัตริย์ดาวิดนายของพวกเราว่า ‘ขอให้พระเจ้าของท่านทำให้ชื่อของโซโลมอนยิ่งใหญ่กว่าชื่อของท่าน และทำให้บัลลังก์ของโซโลมอนยิ่งใหญ่กว่าบัลลังก์ของท่านด้วย’ ตอนนั้นเอง กษัตริย์ก็หมอบลงกับที่นอน 48 และอธิษฐานว่า ‘ขอพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลได้รับการสรรเสริญ วันนี้พระองค์ให้มีผู้สืบบัลลังก์ของผมและให้ผมได้เห็นด้วยตาของตัวเอง’”
49 ทุกคนที่อาโดนียาห์เชิญมาร่วมงานก็กลัวมาก แต่ละคนลุกขึ้นและแยกย้ายกันไป 50 อาโดนียาห์ก็กลัวโซโลมอนด้วย เขาไปที่แท่นบูชาและจับมุมแท่นที่ทำเป็นรูปเขาสัตว์ไว้+ 51 มีคนไปรายงานโซโลมอนว่า “อาโดนียาห์กลัวท่านมาก เขาไปจับมุมแท่นบูชาที่ทำเป็นรูปเขาสัตว์และบอกว่า ‘ให้กษัตริย์โซโลมอนสาบานกับผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่านก่อนว่าจะไม่ประหารผมด้วยดาบ’” 52 โซโลมอนตอบว่า “ถ้าเขาทำตัวดี แม้แต่เส้นผมของเขาเส้นหนึ่งก็จะไม่ร่วงถึงพื้น แต่ถ้าเราเห็นความชั่วในตัวเขา+ เขาจะต้องตาย” 53 กษัตริย์โซโลมอนจึงส่งคนไปพาอาโดนียาห์ลงมาจากแท่นบูชา เขาจึงเข้ามาหมอบลงต่อหน้ากษัตริย์ แล้วโซโลมอนก็พูดกับเขาว่า “กลับไปบ้านของท่านเถอะ”
2 เมื่อดาวิดใกล้จะเสียชีวิต เขาสั่งโซโลมอนลูกชายว่า 2 “พ่อใกล้จะตายแล้ว ขอให้ลูกเข้มแข็ง+สมกับเป็นลูกผู้ชาย+ 3 ลูกต้องทำหน้าที่ที่มีต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของลูก ใช้ชีวิตตามแนวทางของพระองค์และทำตามกฎหมาย คำสั่ง คำพิพากษา และข้อเตือนใจของพระองค์อย่างที่เขียนไว้ในกฎหมายของโมเสส+ แล้วลูกจะประสบความสำเร็จไม่ว่าจะทำอะไรหรือจะไปที่ไหน 4 และพระยะโฮวาจะทำตามที่สัญญาไว้กับพ่อว่า ‘ถ้าลูกหลานของเจ้าทำตัวดี และซื่อสัตย์ต่อเราสุดชีวิตจิตใจ+ จะมีเชื้อสายของเจ้าครองบัลลังก์ของอิสราเอลตลอดไป’+
5 “ลูกรู้ดีว่าโยอาบลูกนางเศรุยาห์เคยทำอะไรไว้กับพ่อ และเคยทำอะไรไว้กับแม่ทัพอิสราเอลสองคน คืออับเนอร์+ลูกของเนอร์และอามาสา+ลูกของเยเธอร์ เขาฆ่า+สองคนนั้นทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลาสงคราม และเขาทำให้เลือดเปื้อนเข็มขัดและรองเท้าของเขาเอง 6 ลูกต้องจัดการเขาตามที่ลูกเห็นควร อย่าให้คนหัวหงอกคนนั้นลงหลุม*ไปอย่างสงบเลย+
7 “แต่ลูกต้องเมตตา*และอย่าทอดทิ้งลูกหลาน*ของบาร์ซิลลัย+ชาวกิเลอาด ให้พวกเขาได้กินอาหารที่โต๊ะของลูก เพราะพวกเขาอยู่เคียงข้างพ่อ+ตอนที่พ่อหนีจากอับซาโลมพี่ชายของลูก+
8 “แล้วยังมีชิเมอีลูกเกราตระกูลเบนยามินจากหมู่บ้านบาฮูริมด้วย เขาเคยแช่งด่าพ่ออย่างเจ็บแสบ+ตอนที่พ่อกำลังจะไปมาหะนาอิม+ แต่ตอนที่เขามาหาพ่อที่แม่น้ำจอร์แดน พ่อก็สาบานกับเขาต่อหน้าพระยะโฮวาว่าจะไม่ฆ่าเขาด้วยดาบ+ 9 แต่ตอนนี้ อย่าปล่อยเขาไว้+ ลูกเป็นคนฉลาดและรู้ว่าควรทำยังไงกับเขา ลูกต้องฆ่าคนหัวหงอกคนนี้ซะ”+
10 แล้วดาวิดก็ตายไปตามปู่ย่าตายายและถูกฝังไว้ที่เมืองของดาวิด+ 11 ดาวิดปกครองอิสราเอลทั้งหมด 40 ปี เขาปกครองที่เมืองเฮโบรน+ 7 ปี และที่กรุงเยรูซาเล็ม 33 ปี+
12 โซโลมอนจึงนั่งบนบัลลังก์ของดาวิดพ่อของเขา และอาณาจักรของเขาก็ค่อย ๆ มั่นคงขึ้น+
13 ต่อมา อาโดนียาห์ลูกนางฮักกีทมาหานางบัทเชบาแม่ของโซโลมอน เธอถามว่า “ท่านมาดีหรือ?” เขาตอบว่า “ผมมาดี” 14 แล้วเขาก็พูดว่า “ผมมีเรื่องจะพูดกับท่าน” เธอตอบว่า “พูดมาเถอะ” 15 เขาบอกว่า “ท่านรู้ดีว่าผมควรจะได้เป็นกษัตริย์ และทุกคนในอิสราเอลก็คิดว่าผมจะได้เป็นกษัตริย์+ แต่ตำแหน่งกษัตริย์กลับตกเป็นของน้องชายผม เพราะพระยะโฮวาต้องการจะมอบให้เขา+ 16 แต่ตอนนี้ผมอยากจะขอท่านเพียงเรื่องเดียว และอย่าปฏิเสธผมเลย” เธอตอบว่า “พูดมาเถอะ” 17 เขาบอกว่า “โปรดไปขอกษัตริย์โซโลมอนให้ยกนางอาบีชาก+ชาวชูเนมให้เป็นภรรยาผม เพราะกษัตริย์จะไม่ปฏิเสธท่านแน่ ๆ” 18 บัทเชบาจึงตอบว่า “ได้สิ ฉันจะไปพูดกับกษัตริย์ให้”
19 บัทเชบาจึงไปขอร้องกษัตริย์โซโลมอนให้อาโดนียาห์ กษัตริย์รีบลุกมาหาและคำนับเธอ แล้วเขาก็ไปนั่งบนบัลลังก์ และสั่งให้จัดบัลลังก์ให้เธอนั่งทางขวาของเขา 20 เธอบอกว่า “แม่มีเรื่องเล็กน้อยจะขอลูก อย่าปฏิเสธแม่เลย” กษัตริย์บอกเธอว่า “บอกมาเลยท่านแม่ ผมจะไม่ปฏิเสธท่านเลย” 21 เธอบอกว่า “ยกอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นภรรยาของอาโดนียาห์พี่ชายของลูกเถอะ” 22 กษัตริย์โซโลมอนตอบแม่ว่า “ทำไมท่านมาขอให้ผมยกอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นภรรยาของอาโดนียาห์? ขอตำแหน่งกษัตริย์ให้เขาด้วยเลยสิ+ เพราะเขาเป็นพี่ชายของผม+ และปุโรหิตอาบียาธาร์กับโยอาบ+ลูกนางเศรุยาห์ก็สนับสนุนเขาอยู่”+
23 กษัตริย์โซโลมอนจึงสาบานต่อหน้าพระยะโฮวาว่า “ถ้าอาโดนียาห์ไม่ได้ชดใช้ด้วยชีวิตที่บังอาจมาขออย่างนี้ ก็ให้พระเจ้าลงโทษผมให้หนักกว่านั้นอีก 24 พระยะโฮวามอบบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดให้ผม ทำให้บัลลังก์ของผมมั่นคง+ และตั้งราชวงศ์ให้ผม+ตามที่พระองค์สัญญาไว้ ผมขอสาบานต่อพระองค์ผู้มีชีวิตอยู่ว่า อาโดนียาห์จะต้องถูกประหาร+วันนี้แน่” 25 แล้วกษัตริย์โซโลมอนก็ส่งเบไนยาห์+ลูกเยโฮยาดาไปฆ่าอาโดนียาห์ทันที
26 กษัตริย์บอกปุโรหิตอาบียาธาร์+ว่า “กลับไปไร่นาของท่านที่อานาโธท+ซะ ท่านสมควรตาย แต่เราจะไม่ประหารท่านในวันนี้ เพราะท่านเคยแบกหีบของพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดให้ดาวิดพ่อของเรา+ และเพราะท่านเคยร่วมทุกข์กับพ่อของเรามานาน”+ 27 โซโลมอนจึงปลดอาบียาธาร์ออกจากตำแหน่งปุโรหิตของพระยะโฮวา เหตุการณ์นี้เป็นไปตามที่พระยะโฮวาพูดไว้ที่เมืองชิโลห์+เกี่ยวกับลูกหลานของเอลี+
28 เมื่อโยอาบได้ข่าวก็หนีไปที่เต็นท์ของพระยะโฮวา+และจับมุมแท่นบูชาที่ทำเป็นรูปเขาสัตว์ไว้ โยอาบสนับสนุนอาโดนียาห์+แต่ไม่สนับสนุนอับซาโลม+ 29 มีคนบอกกษัตริย์โซโลมอนว่า “โยอาบหนีไปที่เต็นท์ของพระยะโฮวาแล้ว เขาอยู่ที่แท่นบูชา” โซโลมอนจึงสั่งเบไนยาห์ลูกเยโฮยาดาว่า “ไปฆ่าเขา!” 30 เบไนยาห์จึงไปที่เต็นท์ของพระยะโฮวาและบอกโยอาบว่า “กษัตริย์สั่งให้ท่านออกมาเดี๋ยวนี้!” แต่โยอาบบอกว่า “ไม่! เราจะตายอยู่ตรงนี้” เบไนยาห์จึงไปบอกกษัตริย์ว่าโยอาบพูดอย่างนั้น 31 กษัตริย์บอกเขาว่า “ทำอย่างที่เขาบอก ฆ่าเขาและฝังเขาซะ เรากับราชวงศ์ของพ่อเราจะได้ไม่มีส่วนรับผิดชอบที่โยอาบฆ่าคนตายโดยไม่มีเหตุผลสมควร+ 32 พระยะโฮวาจะให้เขาชดใช้ความผิดที่ได้ฆ่าคนสองคนที่ดีกว่าเขาโดยที่ดาวิดพ่อของเราไม่รู้ คืออับเนอร์+ลูกของเนอร์แม่ทัพของอิสราเอล+ กับอามาสา+ลูกของเยเธอร์แม่ทัพของยูดาห์+ 33 โยอาบและลูกหลานของเขาจะต้องชดใช้ความผิดนั้นตลอดไป+ แต่ขอให้ดาวิดกับลูกหลาน รวมทั้งราชวงศ์และบัลลังก์ของท่านมีสันติสุขจากพระยะโฮวาตลอดกาล” 34 เบไนยาห์ลูกเยโฮยาดาจึงไปฆ่าโยอาบ ศพของโยอาบถูกฝังไว้ที่บ้านของเขาเองในที่กันดาร 35 กษัตริย์แต่งตั้งเบไนยาห์+ลูกเยโฮยาดาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ และแต่งตั้งปุโรหิตศาโดก+ให้ทำหน้าที่แทนอาบียาธาร์
36 แล้วกษัตริย์ก็เรียกชิเมอี+มาบอกว่า “คุณต้องสร้างบ้านในกรุงเยรูซาเล็มและอยู่ที่นั่น อย่าออกไปที่อื่น 37 ถ้าคุณข้ามหุบเขาขิดโรน+ไปวันไหน วันนั้นคุณตายแน่ และถือเป็นความผิดของคุณเอง” 38 ชิเมอีตอบกษัตริย์ว่า “ที่ท่านพูดมาก็ดีแล้ว ผมจะทำอย่างที่กษัตริย์ผู้เป็นนายของผมบอก” ชิเมอีจึงอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มระยะหนึ่ง
39 แต่พอสามปีผ่านไป ทาสสองคนของชิเมอีก็หนีไปหาอาคีช+ลูกของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท เมื่อมีคนบอกชิเมอีว่า “ทาสของคุณอยู่ที่เมืองกัท” 40 ชิเมอีก็รีบใส่อานบนหลังลาและไปหาอาคีชที่เมืองกัทเพื่อตามหาทาสของเขา แล้วชิเมอีก็พาทาสกลับมาจากเมืองกัท 41 มีคนบอกโซโลมอนว่า “ชิเมอีออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปเมืองกัทและกลับมาแล้ว” 42 กษัตริย์จึงเรียกชิเมอีมาบอกว่า “เราให้คุณสาบานต่อหน้าพระยะโฮวาและเตือนคุณแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘คุณออกไปจากที่นี่วันไหน วันนั้นคุณตายแน่’? และคุณก็ยังบอกไม่ใช่หรือว่า ‘ที่ท่านพูดมาก็ดีแล้ว ผมจะทำตาม’?+ 43 แล้วทำไมคุณไม่ทำตามที่สาบานไว้ต่อหน้าพระยะโฮวา และไม่ทำตามที่เราสั่ง?” 44 แล้วกษัตริย์ก็พูดกับชิเมอีว่า “คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าเคยทำร้ายดาวิดพ่อของเรา+ไว้อย่างไร พระยะโฮวาจะลงโทษคุณที่ทำอย่างนั้น+ 45 แต่กษัตริย์โซโลมอนจะได้พร+ และพระยะโฮวาจะทำให้บัลลังก์ของดาวิดมั่นคงตลอดไป” 46 กษัตริย์จึงส่งเบไนยาห์ลูกเยโฮยาดาไปฆ่าชิเมอี+
แล้วอาณาจักรของโซโลมอนก็ตั้งมั่นคง+
3 โซโลมอนต้องการเป็นพันธมิตรกับฟาโรห์แห่งอียิปต์ จึงแต่งงานกับลูกสาวฟาโรห์+และพาเธอมาอยู่ที่เมืองของดาวิด+ จนกว่าเขาจะสร้างวังของตัวเอง+ วิหารของพระยะโฮวา+ และกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็มเสร็จ+ 2 ตอนนั้นประชาชนยังคงถวายเครื่องบูชาบนที่สูง+ เพราะพวกเขายังไม่ได้สร้างวิหารเพื่อยกย่องชื่อพระยะโฮวา+ 3 โซโลมอนรักพระยะโฮวาและทำตามคำสั่งของดาวิดผู้เป็นพ่อ แต่เขายังเผาเครื่องบูชาถวายบนที่สูงอยู่+
4 แล้วกษัตริย์โซโลมอนก็ไปถวายเครื่องบูชาบนที่สูงในเมืองกิเบโอน เพราะเป็นที่ที่สำคัญ*ที่สุด+ เขาเอาสัตว์ 1,000 ตัวเผาถวายบนแท่นนั้น+ 5 คืนวันหนึ่งตอนที่โซโลมอนอยู่ที่กิเบโอน พระยะโฮวามาหาเขาในความฝันและพูดว่า “ขอให้บอกมาว่าเจ้าอยากได้อะไร แล้วเราจะให้เจ้า”+ 6 โซโลมอนตอบว่า “พระองค์ได้แสดงความรักที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงต่อดาวิดพ่อของผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะเขาซื่อสัตย์ ยุติธรรม และซื่อตรงต่อพระองค์ พระองค์ยังแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงต่อเขาจนถึงทุกวันนี้โดยให้เขามีลูกชายสืบบัลลังก์+ 7 พระยะโฮวาพระเจ้าของผม ตอนนี้พระองค์ให้ผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์เป็นกษัตริย์ต่อจากดาวิดพ่อของผม ทั้ง ๆ ที่ผมอายุยังน้อย*และไม่มีประสบการณ์+ 8 ผมกำลังปกครองประชาชนที่พระองค์เลือกไว้+ ซึ่งเป็นชาติใหญ่ที่นับจำนวนไม่ได้ 9 ดังนั้น โปรดช่วยผมให้เต็มใจเชื่อฟังเพื่อจะตัดสินคดีของประชาชนของพระองค์ได้+ เพื่อจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด+ เพราะใครจะปกครองชนชาติใหญ่*ของพระองค์ได้?”
10 พระยะโฮวาชอบที่โซโลมอนขออย่างนั้น+ 11 พระองค์จึงบอกเขาว่า “เพราะเจ้าขออย่างนี้ ไม่ได้ขอให้มีชีวิตยืนยาว ให้ร่ำรวย หรือให้ศัตรูตาย แต่ขอให้มีความเข้าใจเพื่อจะตัดสินคดีได้อย่างถูกต้อง+ 12 เราจะให้ตามที่เจ้าขอ+ เราจะทำให้เจ้ามีปัญญาและมีความเข้าใจ+ ถึงขนาดที่ไม่มีใครก่อนหน้าเจ้าและหลังจากเจ้าจะเทียบได้+ 13 แล้วเราจะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอด้วย+ เราจะให้เจ้าร่ำรวยและมีเกียรติยศ+ถึงขนาดที่ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนในยุคของเจ้าจะเทียบได้+ 14 และถ้าเจ้าใช้ชีวิตตามแนวทางของเรา ทำตามกฎหมายและคำสั่งของเราเหมือนดาวิดพ่อของเจ้า+ เราก็จะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาวด้วย”+
15 พอโซโลมอนตื่นขึ้น เขาก็รู้ว่าได้รับนิมิต แล้วเขาก็ไปที่กรุงเยรูซาเล็มและยืนอยู่หน้าหีบสัญญาของพระยะโฮวา เขาถวายเครื่องบูชาเผา เครื่องบูชาผูกมิตร+ และจัดงานเลี้ยงให้ข้าราชสำนักทั้งหมด
16 ตอนนั้นมีผู้หญิงโสเภณี 2 คนเข้ามาหากษัตริย์ 17 ผู้หญิงคนแรกบอกว่า “ได้โปรดเถอะนายท่าน ดิฉันกับผู้หญิงคนนี้อยู่บ้านเดียวกัน ตอนที่ดิฉันคลอดลูกเธอก็อยู่ในบ้าน 18 พอดิฉันคลอดได้สามวัน ผู้หญิงคนนี้ก็คลอดลูกเหมือนกัน เราอยู่ด้วยกันแค่สองคน ไม่มีคนอื่นอยู่ในบ้านเลย 19 คืนวันหนึ่งผู้หญิงคนนี้นอนทับลูกตัวเองตาย 20 เธอลุกขึ้นมากลางดึก เอาลูกชายของเธอที่ตายแล้วมาวางไว้ข้าง ๆ ดิฉันตอนที่ดิฉันหลับอยู่ แล้วเอาลูกชายของดิฉันไปนอนกับเธอ 21 พอดิฉันตื่นขึ้นมาเพื่อให้นมลูกก็เห็นว่าเขาตายแล้ว แต่พอมองชัด ๆ ในตอนเช้าก็รู้ว่าไม่ใช่ลูกของดิฉัน” 22 แต่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งบอกว่า “ไม่ใช่! เด็กที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นลูกของฉัน เด็กที่ตายเป็นลูกของเธอ” แต่ผู้หญิงคนแรกบอกว่า “ไม่ใช่! เด็กที่ตายเป็นลูกของเธอ เด็กที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นลูกของฉัน” เขาทั้งสองทะเลาะกันต่อหน้ากษัตริย์
23 ในที่สุด กษัตริย์ก็พูดว่า “คนนี้บอกว่า ‘เด็กที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นลูกของฉัน เด็กที่ตายเป็นลูกของเธอ’ ส่วนอีกคนก็บอกว่า ‘ไม่ใช่! เด็กที่ตายเป็นลูกของเธอ เด็กที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นลูกของฉัน’” 24 กษัตริย์บอกว่า “เอาดาบมาให้เรา” พวกเขาก็เอาดาบมาให้กษัตริย์ 25 กษัตริย์สั่งว่า “เอาเด็กที่ยังมีชีวิตอยู่ไปผ่าเป็นสองส่วน แล้วแบ่งให้ผู้หญิงสองคนนี้คนละครึ่ง” 26 ผู้หญิงที่เป็นแม่ของเด็กที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ขอร้องกษัตริย์เพราะเธอสงสารลูก เธอบอกว่า “ได้โปรดเถอะนายท่าน อย่าฆ่าเขาเลย ยกเด็กที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ผู้หญิงคนนั้นไปเถอะ” แต่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งบอกว่า “ไม่ต้องให้ใครได้เด็กคนนี้ไปหรอก ผ่าไปเลย!” 27 กษัตริย์จึงบอกว่า “อย่าฆ่าเด็กคนนั้น เอาเขาไปให้ผู้หญิงคนแรก เพราะเธอเป็นแม่ของเด็ก”
28 ชาวอิสราเอลทุกคนได้ยินเรื่องคำตัดสินของกษัตริย์ พวกเขาต่างก็เกรงกลัวกษัตริย์+เพราะเห็นว่าโซโลมอนได้รับสติปัญญาจากพระเจ้าจนตัดสินได้อย่างยุติธรรม+
4 กษัตริย์โซโลมอนปกครองทั่วแผ่นดินอิสราเอล+ 2 ข้าราชการระดับสูงของเขามีดังต่อไปนี้ อาซาริยาห์ลูกศาโดก+เป็นปุโรหิต 3 เอลีโฮเรฟกับอาหิยาห์ลูกชิชาเป็นเลขานุการ+ เยโฮชาฟัท+ลูกอาหิลูดเป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ 4 เบไนยาห์+ลูกเยโฮยาดาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ศาโดกกับอาบียาธาร์+เป็นปุโรหิต 5 อาซาริยาห์ลูกนาธัน+เป็นหัวหน้าพวกผู้ดูแล ศาบุดลูกนาธันเป็นปุโรหิตและคนสนิทของกษัตริย์+ 6 อาหิชาร์เป็นผู้ดูแลวัง และอาโดนีรัม+ลูกอับดาเป็นผู้ดูแลคนที่ถูกเกณฑ์มาทำงาน+
7 โซโลมอนตั้งผู้ดูแล 12 คนปกครองทั่วแผ่นดินอิสราเอลเพื่อส่งอาหารให้กษัตริย์และราชวงศ์ พวกเขามีหน้าที่จัดหาอาหารให้กษัตริย์คนละหนึ่งเดือนทุกปี+ 8 ผู้ดูแลเหล่านี้คือ ลูกของเฮอร์ ซึ่งปกครองเขตเทือกเขาของเอฟราอิม 9 ลูกของเดเคอร์ ซึ่งปกครองมาคาส ชาอัลบิม+ เบธเชเมช และเอโลนเบธฮานัน 10 ลูกของเฮเสด ซึ่งปกครองเมืองอารุบโบท (เขาปกครองโสโคห์และทั่วเขตแดนเฮเฟอร์) 11 ลูกของอาบีนาดับ ซึ่งปกครองแถบภูเขาเมืองโดร์ (เขาแต่งงานกับลูกสาวโซโลมอนชื่อทาฟัท) 12 บาอานาลูกอาหิลูด ซึ่งปกครองเมืองทาอานาค เมกิดโด+ และรอบ ๆ เมืองเบธเชอาน+ที่อยู่ใกล้กับศาเรธานและอยู่ต่ำกว่ายิสเรเอล เขาปกครองตั้งแต่เมืองเบธเชอานถึงอาเบลเมโหลาห์ไปจนถึงเขตโยกเมอัม+ 13 ลูกของเกเบอร์ ซึ่งปกครองเมืองราโมทกิเลอาด+ (เขาปกครองเมืองเล็กเมืองน้อยของยาอีร์+ลูกหลานมนัสเสห์ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในกิเลอาด+ และยังปกครองเขตอาร์โกบ+ในบาชาน+ซึ่งรวมถึงเมืองใหญ่ 60 เมืองที่มีกำแพงเมืองและมีกลอนประตูทำจากทองแดง) 14 อาหินาดับลูกอิดโด ซึ่งปกครองเมืองมาหะนาอิม+ 15 อาหิมาอัส ซึ่งปกครองเขตนัฟทาลี (เขาแต่งงานกับลูกสาวอีกคนหนึ่งของโซโลมอนชื่อบาเสมัท) 16 บาอานาลูกหุชัย ซึ่งปกครองเขตอาเชอร์กับเบอาโลท 17 เยโฮชาฟัทลูกปารูอาห์ ซึ่งปกครองเขตอิสสาคาร์ 18 ชิเมอี+ลูกเอลา ซึ่งปกครองเขตเบนยามิน+ 19 เกเบอร์ลูกอุรี ซึ่งปกครองแผ่นดินกิเลอาด+ แผ่นดินของกษัตริย์สิโหน+ชาวอาโมไรต์และแผ่นดินของกษัตริย์โอก+แห่งบาชาน และมีอีกคนหนึ่งเป็นหัวหน้าผู้ดูแลเหล่านี้ทั้งหมด
20 ยูดาห์และอิสราเอลมีประชากรมากมายเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล+ พวกเขากินดื่มและรื่นเริงกัน+
21 โซโลมอนปกครองอาณาจักรทั้งหมดตั้งแต่แม่น้ำ*+จนถึงแผ่นดินฟีลิสเตีย และถึงพรมแดนอียิปต์ อาณาจักรเหล่านี้เอาของบรรณาการมาให้โซโลมอนและรับใช้เขาตลอดช่วงที่เขามีชีวิตอยู่+
22 อาหารที่รับประทานกันในวังของโซโลมอนแต่ละวันคือ แป้งละเอียด 30 โคระ*และแป้งธรรมดา 60 โคระ* 23 วัวขุน 10 ตัว วัวที่เลี้ยงในทุ่ง 20 ตัว แกะ 100 ตัว กวาง*รวมทั้งนกที่ขุนจนอ้วน 24 โซโลมอนครอบครองแผ่นดินทั้งหมดที่อยู่ฝั่งนี้ของแม่น้ำ*+ ตั้งแต่ทิฟสาห์จนถึงกาซา+ กษัตริย์ทุกองค์ที่อยู่ฝั่งนี้ของแม่น้ำอยู่ใต้อำนาจเขา และทั่วเขตแดนที่เขาปกครองมีแต่ความสงบสุข+ 25 ชาวยูดาห์และอิสราเอลมีความมั่นคงปลอดภัย แต่ละคนอยู่ใต้ต้นองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อของตัวเอง ตั้งแต่เมืองดานจนถึงเมืองเบเออร์เชบา ตลอดยุคของโซโลมอน
26 โซโลมอนมีคอกม้า 4,000* คอกสำหรับม้าเทียมรถศึกและมีม้า 12,000 ตัว*+
27 ผู้ดูแลเหล่านั้นส่งอาหารมาให้กษัตริย์โซโลมอนและทุกคนที่รับประทานอาหารที่โต๊ะของกษัตริย์ พวกเขาจะทำหน้าที่ส่งอาหารคนละหนึ่งเดือนและคอยดูแลไม่ให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง+ 28 พวกเขายังจัดหาข้าวบาร์เลย์และฟางมาให้ม้าเทียมรถและม้าอื่น ๆ ตามที่แต่ละคนได้รับมอบหมาย
29 พระเจ้าทำให้โซโลมอนมีสติปัญญาและมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ มากมายเหมือนทรายที่ชายทะเล+ 30 โซโลมอนฉลาดกว่าทุกคนในดินแดนตะวันออกและทุกคนในอียิปต์+ 31 เขาฉลาดกว่าทุกคน รวมทั้งเอธาน+ลูกหลานเศราห์ เฮมาน+ คาลโคล์+ และดาร์ดาลูกมาโฮล เขามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกชาติที่อยู่รอบ ๆ+ 32 เขาแต่ง*สุภาษิต+ 3,000 ข้อ และแต่งเพลง+ 1,005 เพลง 33 เขาพูดถึงต้นไม้ ตั้งแต่ต้นสนซีดาร์ในเลบานอนไปจนถึงต้นหุสบ+ที่ขึ้นบนกำแพง เขาพูดถึงสัตว์สี่เท้า+ นก+ สัตว์เลื้อยคลาน แมลง+ และปลา 34 ผู้คนทุกชาติและกษัตริย์ทั้งหลายในโลกที่ได้ยินข่าวเรื่องความฉลาดของโซโลมอนก็เดินทางมาฟังคำพูดที่ฉลาดหลักแหลมของเขา+
5 เมื่อกษัตริย์ฮีรามแห่งไทระ+ได้ยินว่าโซโลมอนได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์แทนพ่อของเขา ฮีรามจึงส่งคนไปหาโซโลมอน เพราะฮีรามเป็นเพื่อนกับดาวิด*มานาน+ 2 แล้วโซโลมอนก็ส่งข่าวไปถึงฮีรามว่า+ 3 “ท่านก็รู้ว่าดาวิดพ่อของเราไม่สามารถสร้างวิหารเพื่อยกย่องชื่อพระยะโฮวาพระเจ้าได้เพราะพ่อต้องทำศึกสงครามรอบด้านไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดพระยะโฮวาช่วยให้พ่อปราบศัตรูได้ทั้งหมด+ 4 ตอนนี้พระยะโฮวาพระเจ้าของเราทำให้สงครามสงบลงทุกด้านแล้ว+ ไม่มีใครต่อต้านเราและไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นเลย+ 5 เราจึงตั้งใจจะสร้างวิหารเพื่อยกย่องชื่อพระยะโฮวาพระเจ้าของเรา เหมือนที่พระยะโฮวาสัญญาไว้กับพ่อว่า ‘เราจะให้ลูกของเจ้านั่งบนบัลลังก์ของเจ้า เขาจะสร้างวิหารเพื่อยกย่องชื่อของเรา’+ 6 ดังนั้น ขอสั่งคนของท่านให้ตัดไม้สนซีดาร์ที่เลบานอน+ส่งมาให้เรา คนของเราจะทำงานกับคนของท่าน แล้วเราจะจ่ายค่าแรงให้คนของท่านตามอัตราที่ท่านกำหนด เพราะท่านรู้ว่าในพวกเราไม่มีใครเก่งเรื่องการตัดไม้เหมือนชาวไซดอน”+
7 เมื่อฮีรามได้ข่าวจากโซโลมอน เขาก็ดีใจมากและพูดว่า “ขอพระยะโฮวาได้รับการสรรเสริญในวันนี้ เพราะพระองค์ให้ดาวิดมีลูกชายที่ฉลาดเพื่อจะปกครองชนชาติใหญ่นี้”+ 8 ฮีรามจึงส่งข่าวไปหาโซโลมอนว่า “เราได้ข่าวจากท่านแล้ว เราจะส่งไม้สนซีดาร์กับไม้สนจูนิเปอร์ไปให้ตามที่ท่านต้องการ+ 9 คนของเราจะขนไม้จากเลบานอนไปที่ทะเล แล้วจะมัดติดกันเป็นแพเพื่อล่องไปทางทะเล ไปยังที่ที่ท่านกำหนด เราจะสั่งให้แก้มัดแพที่นั่นเพื่อท่านจะขนต่อไปได้ และขอให้ท่านส่งอาหารที่เราต้องการมาที่วังของเราเป็นการตอบแทน”+
10 ฮีรามจึงส่งไม้สนซีดาร์กับไม้สนจูนิเปอร์ทั้งหมดที่โซโลมอนต้องการไปให้ 11 และโซโลมอนก็ส่งข้าวสาลีให้ฮีราม 20,000 โคระ*เพื่อเป็นอาหารในวังของเขากับน้ำมันมะกอกอย่างดีอีก 20 โคระ* โซโลมอนส่งของเหล่านี้ให้ฮีรามทุกปี+ 12 พระยะโฮวาทำให้โซโลมอนมีสติปัญญาตามที่สัญญาไว้+ ประเทศของฮีรามกับของโซโลมอนเป็นมิตรกัน และทั้งสองก็ทำสัญญากัน
13 กษัตริย์โซโลมอนเกณฑ์คนงาน 30,000 คนจากทั่วอิสราเอลมาทำงาน+ 14 เขาส่งคนงานไปเลบานอนเดือนละ 10,000 คน คนพวกนี้จะผลัดกันไปทำงานในเลบานอน 1 เดือนและกลับมาอยู่บ้านตัวเอง 2 เดือน อาโดนีรัม+เป็นผู้ดูแลคนที่ถูกเกณฑ์มาทำงานทั้งหมด 15 โซโลมอนมีคนงานทั่วไป* 70,000 คนและมีคนงานสกัดหิน+อยู่ที่ภูเขา 80,000 คน+ 16 โซโลมอนตั้งผู้ดูแล+ 3,300 คนให้คุมคนงาน 17 กษัตริย์สั่งให้พวกเขาสกัดหินมีค่า+เป็นก้อนใหญ่ ๆ แล้วเอามาทำเป็นฐานรากของวิหาร+ 18 คนงานก่อสร้างของโซโลมอนและของฮีรามรวมทั้งชาวเกบาล+จึงช่วยกันสกัดหิน พวกเขาเตรียมไม้และหินสำหรับสร้างวิหาร
6 ในปีที่ 480 หลังจากชาวอิสราเอลออกมาจากอียิปต์+ ซึ่งเป็นปีที่ 4 ที่กษัตริย์โซโลมอนปกครองอิสราเอล ในเดือนศิฟ*+ (คือเดือน 2) ของปีนั้น เขาเริ่มสร้างวิหารของพระยะโฮวา*+ 2 วิหารที่กษัตริย์โซโลมอนสร้างให้พระยะโฮวายาว 60 ศอก* กว้าง 20 ศอก และสูง 30 ศอก+ 3 โถงทางเข้า+ด้านหน้าของวิหารกว้าง 20 ศอก ซึ่งเท่ากับความกว้างของวิหาร และลึกเข้าไป 10 ศอก
4 เขาทำหน้าต่างที่ตัววิหารให้ด้านนอกเล็กกว่าด้านใน+ 5 นอกจากนี้ เขาก่อผนังอีกชั้นหนึ่งรอบวิหาร ให้ล้อมผนังด้านนอกของห้องใหญ่*และห้องชั้นใน+ แล้วทำเป็นห้อง ๆ ไว้ในนั้นตลอดแนว+ 6 ห้องรอบวิหารชั้นล่างกว้าง 5 ศอก ชั้นสองกว้าง 6 ศอก ชั้นสามกว้าง 7 ศอก ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาสร้างผนังให้มีความหนาลดหลั่นขึ้นไปเป็นขั้น ๆ เพื่อจะวางคานได้โดยไม่ต้องเจาะผนัง+
7 วิหารนั้นสร้างด้วยหินที่ทำเป็นก้อนไว้แล้ว+ ตอนสร้างจึงไม่มีเสียงค้อน เสียงขวาน หรือเสียงเครื่องมือเหล็กอื่น ๆ ในวิหารเลย 8 ห้องชั้นล่างที่อยู่รอบวิหารมีทางเข้าอยู่ทางทิศใต้*+ มีบันไดเวียนขึ้นไปบนชั้นสองและชั้นสามด้วย 9 เขาสร้างวิหารส่วนที่เหลือจนเสร็จ+ และเอาไม้สนซีดาร์มาทำคานและทำแผ่นปูหลังคา+ 10 ห้องรอบวิหาร+ที่เขาสร้างนั้นแต่ละห้องสูง 5 ศอก และเชื่อมกับตัววิหารด้วยไม้สนซีดาร์
11 ตอนนั้น พระยะโฮวาส่งข่าวมาถึงโซโลมอนว่า 12 “ถ้าเจ้าทำตามกฎหมายกับคำพิพากษาของเรา และเชื่อฟังคำสั่งของเรา+ เราจะทำตามสัญญาที่เราให้ไว้กับดาวิดพ่อของเจ้าเรื่องวิหารที่เจ้ากำลังสร้างนี้+ 13 เราจะอยู่กับชาวอิสราเอล+ และจะไม่ทิ้งอิสราเอลประชาชนของเราเลย”+
14 โซโลมอนสร้างวิหารส่วนที่เหลือจนเสร็จ 15 เขาเอาไม้สนซีดาร์มาทำผนังด้านในวิหาร บุผนังด้านในด้วยไม้ตั้งแต่พื้นจนถึงคานหลังคา และปูพื้นวิหารด้วยแผ่นไม้สนจูนิเปอร์+ 16 เขาวัดจากผนังด้านหลังของวิหารมา 20 ศอก และเอาแผ่นไม้สนซีดาร์มากั้นจากพื้นถึงคานหลังคา ข้างในนั้น*เขาทำห้องชั้นใน+ หรือห้องบริสุทธิ์ที่สุด+ 17 ห้องใหญ่*+ของวิหารที่อยู่ด้านหน้าห้องนั้นยาว 40 ศอก 18 ไม้สนซีดาร์ในวิหารแกะสลักเป็นรูปแตงโมป่า+และรูปดอกไม้บาน+ ทั้งหมดเป็นไม้สนซีดาร์มองไม่เห็นส่วนที่เป็นหินเลย
19 ในวิหารเขาทำห้องชั้นใน+เพื่อเก็บหีบสัญญาของพระยะโฮวา+ 20 ห้องชั้นในนั้นยาว 20 ศอก กว้าง 20 ศอก และสูง 20 ศอก+ เขาบุห้องนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ เขาบุแท่นบูชา+ด้วยไม้สนซีดาร์ 21 โซโลมอนบุด้านในวิหารด้วยทองคำบริสุทธิ์+ และเอาโซ่ทองคำมากั้นหน้าห้องชั้นใน+ที่บุด้วยทองคำ 22 ทุกสิ่งในวิหารนั้นหุ้มด้วยทองคำ แท่นบูชา+ที่ตั้งอยู่ใกล้ห้องชั้นในก็หุ้มด้วยทองคำทั้งหมดเหมือนกัน
23 เขาทำเครูบ+ 2 รูปด้วยไม้สน*ตั้งไว้ในห้องชั้นใน แต่ละรูปสูง 10 ศอก+ 24 ปีกแต่ละข้างของเครูบยาว 5 ศอก จากปลายปีกข้างหนึ่งถึงปลายปีกอีกข้างหนึ่งวัดได้ 10 ศอก 25 ปีกของเครูบอีกรูปหนึ่งก็วัดได้ 10 ศอก เครูบทั้งสองมีขนาดและรูปร่างเหมือนกัน 26 เครูบทั้งสองสูง 10 ศอกเหมือนกัน 27 เขาเอาเครูบ+นั้นไว้ในห้องชั้นใน* เครูบทั้งสองกางปีกออก ปลายปีกข้างหนึ่งของแต่ละรูปจดผนังคนละด้าน ปลายปีกอีกข้างหนึ่งจดกันเองที่กึ่งกลางห้อง 28 และเขาหุ้มเครูบทั้งสองด้วยทองคำ
29 บนผนังทุกด้านในวิหารทั้งห้องชั้นในและชั้นนอก* เขาแกะสลักรูปเครูบ+ ต้นปาล์ม+ และดอกไม้บานไว้+ 30 เขาหุ้มพื้นวิหารด้วยทองคำ ทั้งห้องชั้นในและชั้นนอก 31 ส่วนทางเข้าห้องชั้นใน เขาทำบานประตูด้วยไม้สน ทำเสาข้างประตูและกรอบประตู เป็นส่วนที่ห้า* 32 บานประตูทั้งสองทำจากไม้สน เขาแกะสลักรูปเครูบ ต้นปาล์ม และดอกไม้บานไว้บนบานประตู แล้วก็หุ้มรูปเครูบและต้นปาล์มด้วยทองคำ 33 ส่วนทางเข้าห้องใหญ่* เขาก็ทำกรอบประตูด้วยไม้สนแบบเดียวกัน เป็นของส่วนที่สี่* 34 แล้วเขาก็ทำประตูสองบานด้วยไม้สนจูนิเปอร์ แต่ละบานพับครึ่งได้ และเปิดปิดได้โดยยึดอยู่กับเดือย+ 35 เขาแกะสลักรูปเครูบ ต้นปาล์ม และดอกไม้บานไว้บนบานประตู แล้วหุ้มด้วยแผ่นทองคำ
36 เขาสร้างกำแพงรอบลานวิหารชั้นใน+โดยก่อหินสกัดขึ้นสามชั้นและมีอีกชั้นหนึ่งเป็นไม้สนซีดาร์+
37 มีการวางฐานรากวิหารของพระยะโฮวาในเดือนศิฟ* ปีที่ 4 ที่โซโลมอนปกครอง+ 38 และในเดือนบูล* (คือเดือน 8) ปีที่ 11 วิหารก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ มีรายละเอียดทุกอย่างตามแบบ+ เขาใช้เวลาสร้างวิหารทั้งหมด 7 ปี
7 หลังจากนั้น โซโลมอนก็สร้างวังของเขา+จนเสร็จ ใช้เวลาทั้งหมด 13 ปี+
2 วังที่เขาสร้างชื่อป่าเลบานอน+ วังนี้ยาว 100 ศอก* กว้าง 50 ศอก และสูง 30 ศอก วังนี้มีเสาไม้สนซีดาร์ 4 แถว และมีคานไม้สนซีดาร์+วางบนเสา 3 ชั้นบนของวัง เขาเอาแผ่นไม้สนซีดาร์ติดเข้ากับคานขวางที่อยู่บนเสา แถวละ 15 ตัว* นับทั้งหมดได้ 45 ตัว 4 มีหน้าต่างอยู่สามแถว หน้าต่างทุกบานมีกรอบและอยู่ตรงกับหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่งทั้งสามชั้น 5 ทางเข้าและกรอบประตูทั้งหมดเป็นสี่เหลี่ยม* หน้าต่างรอบวังทั้งสามชั้นที่อยู่ตรงข้ามกัน ถ้ามองจากด้านนอกก็เป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกัน
6 แล้วเขาก็สร้างหอเสา* ยาว 50 ศอก กว้าง 30 ศอก และสร้างเฉลียงด้านหน้าที่มีเสาและหลังคา
7 เขายังสร้างหอบัลลังก์+หรือหอพิพากษา+ซึ่งเป็นที่ที่เขานั่งพิพากษา และพวกเขาเอาไม้สนซีดาร์ทำผนังตั้งแต่พื้นจนถึงคานหลังคา
8 วังที่เขาอยู่สร้างขึ้นบนลานอีกแห่งหนึ่ง+ถัดจากหอบัลลังก์ ทั้งวังและหอนั้นมีรูปแบบคล้ายกัน โซโลมอนยังสร้างวังอีกแห่งหนึ่งคล้ายกับหอนั้นให้ลูกสาวฟาโรห์ซึ่งเขาแต่งงานด้วย+
9 ทั้งหมดนี้สร้างด้วยหินมีค่า+ที่ตัดไว้ตามขนาดซึ่งแต่งด้วยเลื่อยหินทั้งข้างในข้างนอก ตั้งแต่ฐานรากจนถึงส่วนบนสุด และบริเวณด้านนอกทั้งหมดจนถึงลานใหญ่+ 10 หินมีค่าที่ทำเป็นฐานรากมีขนาดใหญ่มาก บางก้อนวัดได้ 10 ศอก บางก้อน 8 ศอก 11 บนฐานราก เขาก่อหินมีค่าที่ตัดไว้ตามขนาดและใช้ไม้สนซีดาร์ด้วย 12 เขาก่อกำแพงรอบลานใหญ่ด้วยหินสกัดสามชั้น และมีอีกชั้นหนึ่งเป็นไม้สนซีดาร์ เหมือนกับกำแพงลานชั้นใน+ที่ล้อมรอบวิหารของพระยะโฮวากับโถงทางเข้าวิหาร+
13 กษัตริย์โซโลมอนส่งคนไปพาชายคนหนึ่งชื่อฮีราม+มาจากไทระ 14 เขาเป็นลูกแม่ม่ายตระกูลนัฟทาลี พ่อของเขาเป็นชาวไทระและเป็นช่างทองแดง+ ฮีรามมีความรู้+ มีประสบการณ์ และมีฝีมือดีในงานทุกอย่างที่ทำด้วยทองแดง* เขาจึงมาหากษัตริย์โซโลมอนและทำงานทุกอย่างตามที่กษัตริย์สั่ง
15 เขาหล่อเสาทองแดง 2 ต้น+ แต่ละต้นสูง 18 ศอก และวัดโดยรอบได้ 12 ศอก*+ 16 เขาหล่อหัวเสาทองแดงตั้งไว้บนเสาทั้งสองต้น หัวเสาสองอันนี้สูง 5 ศอก 17 หัวเสาทั้งสองตกแต่งด้วยตาข่ายที่ทำจากโซ่ซึ่งบิดเป็นเกลียวคล้ายเชือก+ ตาข่ายบนหัวเสาแต่ละอันแบ่งออกเป็นเจ็ดส่วน 18 แล้วเขาก็ทำผลทับทิมห้อยเรียงกัน 2 แถวรอบตาข่ายเพื่อตกแต่งหัวเสาทั้งสอง 19 เสาสองต้นหน้าโถงทางเข้าวิหารมีหัวเสาเป็นลายดอกลิลลี่สูง 4 ศอก 20 หัวเสาส่วนนี้อยู่ถัดขึ้นไปจากส่วนที่โป่งออกมาซึ่งมีตาข่ายติดอยู่ และมีผลทับทิม 200 ผลเรียงกันเป็นแถวรอบหัวเสาแต่ละอัน+
21 เขาตั้งเสาทั้งสองไว้หน้าโถงทางเข้าของวิหาร*+ เขาตั้งเสาด้านขวา*และตั้งชื่อว่ายาคีน* แล้วเขาก็ตั้งเสาด้านซ้าย*และตั้งชื่อว่าโบอาส*+ 22 ด้านบนของเสาเป็นลายดอกลิลลี่ แล้วงานสร้างเสาก็เสร็จสมบูรณ์
23 เขาหล่อโลหะทำเป็นอ่างกลมใหญ่สำหรับเก็บน้ำเรียกว่าทะเลทองแดง+ อ่างนี้สูง 5 ศอก ปากอ่างมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ศอก และวัดโดยรอบได้ 30 ศอก*+ 24 ริมปากอ่างมีลายแตงโมป่า+ 2 แถวโดยรอบ ทุกระยะ 1 ศอกมีลายแตงโม 10 ลูก แตงโมป่าเหล่านี้หล่อเป็นชิ้นเดียวกับทะเลทองแดง 25 อ่างนี้ตั้งอยู่บนรูปวัว 12 ตัว+ วัวเหล่านี้หันหน้าไปทางเหนือ 3 ตัว หันหน้าไปทางตะวันตก 3 ตัว หันหน้าไปทางใต้ 3 ตัว และหันหน้าไปทางตะวันออก 3 ตัว ทะเลทองแดงตั้งอยู่บนวัว 12 ตัวนี้ และทุกตัวหันหลังเข้าหากัน 26 อ่างนี้หนาหนึ่งฝ่ามือ* เขาทำปากอ่างเหมือนปากถ้วยคล้ายดอกลิลลี่ อ่างนี้จุน้ำ 2,000 บัท*
27 แล้วเขาก็ทำรถเข็น*+ 10 คันด้วยทองแดง แต่ละคันยาว 4 ศอก กว้าง 4 ศอก และสูง 3 ศอก 28 เขาทำรถเข็นโดยประกอบแผ่นด้านข้างเข้ากับตัวรถและเอาแผ่นเหล่านั้นติดไว้ระหว่างโครง 29 บนแผ่นด้านข้างตัวรถมีลวดลายเป็นรูปสิงโต+ วัว และเครูบ+ บนโครงก็มีลวดลายเดียวกัน ด้านบนและด้านล่างของสิงโตและวัวเป็นลายนูนรูปมาลัย 30 รถแต่ละคันมีล้อทองแดง 4 ล้อ มีเพลาทองแดง และมีเสาอยู่ที่มุมทั้งสี่ของรถ ปลายเสาด้านล่างยึดกับเพลา ปลายเสาด้านบนค้ำอ่างไว้ เสานี้มีลายรูปมาลัย 31 อ่างนี้วางอยู่บนฐานรับที่อยู่บนสุดของรถ ก้นอ่างวางลึกลงไปในฐานรับ 1 ศอก ขอบบนของฐานเป็นวงกลม ฐานทั้งหมดสูง 1 ศอกครึ่ง ส่วนบนของฐานสลักเป็นลวดลาย แผ่นด้านข้างของฐานนี้เป็นสี่เหลี่ยม ไม่กลม 32 ล้อทั้งสี่อยู่ต่ำกว่าแผ่นข้างรถและมีหมุดยึดล้อติดกับเพลา แต่ละล้อสูง 1 ศอกครึ่ง 33 ล้อรถนี้เหมือนล้อรถม้า ทั้งหมุดยึดล้อ ขอบล้อ ซี่ล้อ และดุมล้อทำจากโลหะหล่อ 34 มีเสา 4 เสาค้ำอยู่ทั้งสี่มุมของรถ และหล่อเป็นชิ้นเดียวกับรถ 35 ส่วนบนของฐานสูงครึ่งศอก รอบ ๆ เป็นโครงกับแผ่นข้างซึ่งหล่อเป็นชิ้นเดียวกับรถ 36 เขาสลักลวดลายเครูบ สิงโต และต้นปาล์มไว้ทั่วโครงกับแผ่นข้างนั้น และมีลายมาลัยอยู่รอบ+ 37 เขาทำรถเข็น 10 คันตามแบบนี้+ ทั้งสิบคันทำเหมือนกันหมด+ มีขนาดและรูปทรงเดียวกัน
38 เขาทำอ่างทองแดง+ 10 ใบใส่ในรถเข็น 10 คันคันละใบ อ่างแต่ละใบจุน้ำได้ 40 บัทและมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ศอก 39 เขาเอารถเข็น 5 คันไว้ด้านขวาของวิหาร อีก 5 คันเอาไว้ด้านซ้าย และตั้งทะเลทองแดงไว้ด้านขวาของวิหาร ค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้+
40 ฮีราม+ยังทำอ่าง พลั่ว+ และชาม+ด้วย
เขาทำงานทั้งหมดที่กษัตริย์โซโลมอนสั่งให้ทำสำหรับวิหารของพระยะโฮวาจนเสร็จ+ 41 เขาทำเสา 2 ต้น+ หัวเสารูปถ้วย ตาข่าย+ที่ตกแต่งหัวเสาทั้งสอง 42 ผลทับทิม+ 400 ผลที่ติดอยู่กับตาข่ายทั้งสอง ผลทับทิมเหล่านั้นห้อยเรียงกันเป็น 2 แถวบนตาข่ายแต่ละอันเพื่อตกแต่งหัวเสารูปถ้วยทั้งสอง 43 รถเข็น 10 คัน+ และอ่าง 10 ใบ+ที่ใส่ในรถเข็น 44 ทะเลทองแดง+กับรูปวัว 12 ตัวที่เป็นฐานรับ 45 ถังใส่ขี้เถ้า พลั่ว ชาม และฮีรามยังทำเครื่องใช้อื่น ๆ จากทองแดงขัดเงาให้กษัตริย์โซโลมอนเอาไว้ใช้ในวิหารของพระยะโฮวา 46 กษัตริย์หล่อสิ่งเหล่านี้ในแม่พิมพ์ดินเหนียวที่เขตจอร์แดน ระหว่างสุคคทกับศาเรธาน
47 โซโลมอนไม่ได้ชั่งน้ำหนักเครื่องใช้เหล่านี้เพราะมีจำนวนมากจริง ๆ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าทองแดงทั้งหมดมีน้ำหนักเท่าไร+ 48 โซโลมอนทำเครื่องใช้ทั้งหมดสำหรับวิหารของพระยะโฮวา ทั้งแท่นบูชา+ทองคำ โต๊ะ+ทองคำสำหรับวางขนมปังถวาย 49 เชิงตะเกียงทองคำบริสุทธิ์ซึ่งตั้งอยู่หน้าห้องชั้นใน ด้านขวา 5 อันด้านซ้าย 5 อัน รวมทั้งดอกไม้+ ตะเกียง และคีมคีบไส้ตะเกียงซึ่งเป็นทองคำทั้งหมด+ 50 อ่าง กรรไกรตัดไส้ตะเกียง+ ชาม ถ้วย+ และภาชนะใส่ถ่านไฟ+ ทั้งหมดทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ และเบ้าสำหรับประตูห้องชั้นใน+หรือห้องบริสุทธิ์ที่สุดรวมทั้งประตูวิหาร+ ทั้งหมดทำด้วยทองคำ
51 กษัตริย์โซโลมอนทำทุกอย่างที่ต้องทำสำหรับวิหารของพระยะโฮวาจนเสร็จเรียบร้อย แล้วโซโลมอนก็เอาของที่ดาวิดพ่อของเขาอุทิศให้พระเจ้า*+มาใส่ไว้ในวิหาร เขาเอาเงิน ทองคำ และของต่าง ๆ มาเก็บไว้ในคลังวิหารของพระยะโฮวา+
8 โซโลมอนเรียกพวกผู้นำของชาวอิสราเอล หัวหน้าตระกูล และหัวหน้าวงศ์ตระกูลทั้งหมดมาชุมนุมกัน+ พวกเขามาหากษัตริย์โซโลมอนที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อย้ายหีบสัญญาของพระยะโฮวาออกจากเมืองของดาวิด+ คือเมืองศิโยน+ 2 ชาวอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกันต่อหน้ากษัตริย์โซโลมอนในงานเทศกาล* ในเดือนเอธานิม* คือเดือน 7+ 3 พวกผู้นำของอิสราเอลก็มา และพวกปุโรหิตก็มายกหีบสัญญา+ 4 ปุโรหิตกับคนเลวีนำหีบสัญญาของพระยะโฮวา เต็นท์เข้าเฝ้า+ และเครื่องใช้ที่บริสุทธิ์ทั้งหมดในเต็นท์นั้นไป 5 กษัตริย์โซโลมอนและชาวอิสราเอลทั้งหมดที่โซโลมอนเรียกมาก็มาอยู่ต่อหน้าหีบนั้น พวกเขาถวายแกะและวัวเป็นเครื่องบูชา+มากมายนับไม่ถ้วน
6 แล้วปุโรหิตก็นำหีบสัญญาของพระยะโฮวาไปไว้ในที่สำหรับหีบนั้น+ คือห้องชั้นในของวิหารหรือห้องบริสุทธิ์ที่สุด ใต้ปีกของเครูบทั้งสอง+
7 ปีกของเครูบแผ่เหนือที่วางหีบสัญญา เครูบอยู่เหนือหีบและไม้คานหามของหีบนั้น+ 8 ไม้คาน+นั้นยาวมากจนมองเห็นส่วนปลายจากห้องบริสุทธิ์ซึ่งอยู่หน้าห้องชั้นใน แต่มองไม่เห็นจากนอกวิหาร และยังอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้ 9 ในหีบนั้นไม่มีอะไรนอกจากแผ่นหิน+ 2 แผ่นที่โมเสสใส่ไว้+ตอนอยู่ที่ภูเขาโฮเรบ เมื่อพระยะโฮวาทำสัญญา+กับชาวอิสราเอลหลังจากพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์+
10 เมื่อปุโรหิตออกมาจากสถานบริสุทธิ์ ก็มีเมฆ+เต็มวิหารของพระยะโฮวา+ 11 ปุโรหิตไม่สามารถทำงานรับใช้ได้เพราะเมฆนั้น เนื่องจากรัศมีของพระยะโฮวาแผ่ทั่ววิหารของพระยะโฮวา+ 12 ในตอนนั้น โซโลมอนพูดว่า “พระยะโฮวาบอกว่าพระองค์จะอยู่ในเมฆหนาทึบ+ 13 ผมสร้างวิหารที่สง่างามให้พระองค์เสร็จแล้ว เพื่อพระองค์จะอยู่ที่นั่นตลอดไป”+
14 แล้วกษัตริย์ก็หันมาอวยพรชาวอิสราเอลทุกคน*ที่ยืนอยู่นั้น+ 15 โซโลมอนบอกว่า “ขอพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลได้รับคำสรรเสริญ พระองค์สัญญาไว้กับดาวิดและพระองค์ก็ทำตามสัญญาแล้ว พระองค์บอกว่า 16 ‘ตั้งแต่วันที่เราพาชาวอิสราเอลประชาชนของเราออกจากอียิปต์ เราไม่ได้เลือกเมืองไหนจากตระกูลไหนในอิสราเอลเป็นที่สร้างวิหารเพื่อยกย่องชื่อของเรา+ แต่เราได้เลือกดาวิดให้ปกครองอิสราเอลประชาชนของเรา’ 17 และดาวิดพ่อของเราก็อยากสร้างวิหารเพื่อยกย่องชื่อของพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอล+ 18 แต่พระยะโฮวาพูดกับดาวิดพ่อของเราว่า ‘ที่เจ้าอยากสร้างวิหารเพื่อยกย่องชื่อของเรานั้นก็ดีแล้ว 19 แต่เจ้าจะไม่ได้สร้างวิหารนั้น ลูกชายของเจ้าที่จะเกิดมา*จะเป็นผู้สร้างวิหารเพื่อยกย่องชื่อของเรา’+ 20 พระยะโฮวาได้ทำตามคำสัญญาของพระองค์ เพราะเราได้ปกครองต่อจากดาวิดพ่อของเราแล้ว และเราได้นั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลอย่างที่พระยะโฮวาสัญญาไว้ เรายังได้สร้างวิหารเพื่อยกย่องชื่อของพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลด้วย+ 21 และในวิหารนั้น เราให้มีที่วางหีบซึ่งมีสัญญา+ที่พระยะโฮวาทำไว้กับปู่ย่าตายายของเราเมื่อพระองค์พาพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์”
22 แล้วโซโลมอนก็ยืนหน้าแท่นบูชาของพระยะโฮวาต่อหน้าชาวอิสราเอลทุกคนที่ชุมนุมกัน เขาชูมือขึ้นฟ้า+ 23 แล้วพูดว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนเหมือนพระองค์เลย+ทั้งในสวรรค์เบื้องบนหรือแผ่นดินเบื้องล่าง พระองค์รักษาสัญญาและมีความรักที่มั่นคง+ต่อผู้รับใช้ที่เชื่อฟังพระองค์สุดหัวใจ+ 24 พระองค์รักษาสัญญาที่ทำไว้กับดาวิดพ่อของผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์สัญญาไว้แล้ว และวันนี้พระองค์ก็ทำตามสัญญานั้น+ 25 พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอล ตอนนี้โปรดทำตามสัญญาที่พระองค์เคยให้กับดาวิดพ่อของผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ที่ว่า ‘จะมีเชื้อสายของเจ้าครองบัลลังก์ของอิสราเอลตลอดไป ถ้าลูกหลานของเจ้าทำตัวดีและเชื่อฟังเราเหมือนที่เจ้าเชื่อฟังเรา’+ 26 พระเจ้าของอิสราเอล ขอให้สัญญาที่พระองค์ทำกับดาวิดพ่อของผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์เป็นจริงด้วยเถอะ
27 “แต่พระเจ้าจะอยู่บนโลกจริง ๆ หรือ?+ เพราะแม้แต่ท้องฟ้าที่สูงส่งก็ยังไม่ใหญ่พอที่จะให้พระองค์อยู่+ แล้วพระองค์จะมาอยู่ในวิหารหลังนี้ที่ผมสร้างได้อย่างไร+ 28 พระยะโฮวาพระเจ้าของผม ขอโปรดฟังผู้รับใช้ของพระองค์ที่กำลังอธิษฐานและร้องขอความเมตตาและความช่วยเหลือจากพระองค์ในวันนี้ 29 พระองค์เคยบอกว่าชื่อของพระองค์จะอยู่ที่วิหารนี้+ ดังนั้น ขอพระองค์เฝ้าดูวิหารนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อจะฟังผู้รับใช้ของพระองค์เมื่อพวกเขาอธิษฐานโดยหันมาทางวิหารนี้+ 30 และโปรดฟังคำขอของผู้รับใช้ของพระองค์และของอิสราเอลประชาชนของพระองค์เมื่อพวกเขาหันหน้ามาทางวิหารนี้เพื่ออธิษฐาน และขอพระองค์ฟังจากที่อยู่ของพระองค์ในสวรรค์+ โปรดรับฟังและให้อภัยด้วยเถอะ+
31 “ถ้ามีคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่าทำผิดต่ออีกคนหนึ่ง และถูกบังคับให้สาบาน* และเขามาหาพระองค์ที่แท่นบูชาในวิหารนี้ขณะที่อยู่ภายใต้คำสาบาน*+ 32 โปรดฟังจากสวรรค์และพิพากษาผู้รับใช้ของพระองค์ ถ้าเขาทำผิด*ก็ขอพระองค์บอกให้รู้และลงโทษเขา แต่ถ้าเขาไม่ได้ทำผิดก็ขอพระองค์บอกให้รู้และตอบแทนความดีของเขา+
33 “ถ้าอิสราเอลประชาชนของพระองค์พ่ายแพ้ศัตรูเพราะทำผิดต่อพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า+ แต่ก็กลับมาหาพระองค์และสรรเสริญชื่อของพระองค์+ และมาอธิษฐานขอความเมตตาจากพระองค์ที่วิหารนี้+ 34 ขอพระองค์โปรดฟังจากสวรรค์และให้อภัยอิสราเอลประชาชนของพระองค์ และพาพวกเขากลับมายังแผ่นดินที่พระองค์มอบให้กับปู่ย่าตายายของพวกเขา+
35 “ถ้าฝนแล้ง+เพราะพวกเขาทำผิดต่อพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า+ และพวกเขาหันหน้ามาทางวิหารนี้เพื่ออธิษฐานและสรรเสริญชื่อของพระองค์และเลิกทำบาปเพราะพระองค์ทำให้พวกเขาสำนึก*+ 36 ก็ขอพระองค์รับฟังจากสวรรค์และให้อภัยชาวอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ และสอนพวกเขา+ให้ใช้ชีวิตตามแนวทางที่ดี และโปรดให้มีฝนตกในแผ่นดิน+ที่พระองค์ได้ยกให้เป็นมรดกของประชาชนของพระองค์แล้ว
37 “ถ้าแผ่นดินมีการขาดแคลนอาหาร+ โรคระบาด พืชผลเสียหายเพราะลมร้อน เชื้อรา+ หรือฝูงตั๊กแตนที่หิวจัด หรือถ้าศัตรูมาล้อมเมืองใดเมืองหนึ่งในแผ่นดินนี้ หรือเกิดโรคร้ายและภัยพิบัติอื่น ๆ+ 38 ถ้าคนหนึ่งคนใดหรือชาวอิสราเอลประชาชนของพระองค์ทั้งหมดพากันอธิษฐานหรือขอความเมตตา+จากพระองค์ไม่ว่าเรื่องอะไร (เพราะแต่ละคนก็รู้ว่าตัวเองมีความทุกข์อะไร)+ และชูมือมาทางวิหารนี้ 39 ขอพระองค์ฟังจากที่อยู่ของพระองค์ในสวรรค์+ ขอโปรดให้อภัยเขา+ ทำตามที่เขาขอ และตอบแทนแต่ละคนตามการกระทำของเขา+ เพราะพระองค์อ่านหัวใจของเขาได้ (พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่อ่านหัวใจมนุษย์ทุกคนได้)+ 40 พวกเขาจะได้เกรงกลัวพระองค์ตลอดเวลาที่อยู่ในแผ่นดินที่พระองค์ให้กับปู่ย่าตายายของพวกเรา
41 “ส่วนคนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอลประชาชนของพระองค์ และคนที่มาจากแดนไกลเพราะได้ยินชื่อเสียงของพระองค์+ 42 (เพราะพวกเขาจะได้ยินชื่อเสียง+และอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์) เมื่อพวกเขามาและหันหน้ามาทางวิหารนี้เพื่ออธิษฐาน 43 ขอพระองค์ฟังจากที่อยู่ของพระองค์ในสวรรค์+ และทำทุกอย่างตามที่คนต่างชาติเหล่านั้นขอ เพื่อทุกชาติทั่วโลกจะได้รู้จักชื่อของพระองค์และเกรงกลัวพระองค์+เหมือนอิสราเอลประชาชนของพระองค์ และพวกเขาจะได้รู้ว่าชื่อของพระองค์อยู่ที่วิหารที่ผมสร้างนี้
44 “ถ้าประชาชนของพระองค์ออกไปรบกับศัตรูไม่ว่าจะเป็นที่ไหนที่พระองค์สั่งให้ไป+ และพวกเขาอธิษฐาน+ต่อพระยะโฮวาโดยหันหน้ามาทางเมืองที่พระองค์เลือกนี้+ และมาทางวิหารที่ผมสร้างเพื่อยกย่องชื่อของพระองค์นี้+ 45 ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำขอของพวกเขาจากสวรรค์ และให้พวกเขาได้รับความยุติธรรม
46 “ถ้าพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ (เพราะไม่มีใครไม่ทำบาป)+ และพระองค์โกรธพวกเขาและทิ้งพวกเขาให้ศัตรูจัดการ และศัตรูก็จับพวกเขาไปเป็นเชลยในประเทศของตัวเอง ไม่ว่าใกล้หรือไกล+ 47 แล้วพวกเขาสำนึกผิดเมื่ออยู่ในแผ่นดินที่พวกเขาไปเป็นเชลยนั้น+ และกลับมาหาพระองค์+ และขอความเมตตาจากพระองค์เมื่ออยู่ในดินแดนของศัตรูนั้น+โดยบอกว่า ‘พวกเราทำผิดทำบาปไปแล้ว พวกเราทำชั่วมากจริง ๆ’+ 48 และพวกเขากลับมาหาพระองค์สุดชีวิตจิตใจ+เมื่ออยู่ในดินแดนของศัตรูที่พวกเขาไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์โดยหันหน้ามาทางแผ่นดินนี้ที่พระองค์ให้กับปู่ย่าตายายของพวกเขาและหันหน้ามาทางเมืองนี้ที่พระองค์เลือก และหันหน้ามาทางวิหารนี้ที่ผมสร้างเพื่อยกย่องชื่อของพระองค์+ 49 ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำขอของพวกเขาจากที่อยู่ของพระองค์ในสวรรค์+ และให้พวกเขาได้รับความยุติธรรม 50 และโปรดให้อภัยประชาชนของพระองค์ที่ได้ทำบาปต่อพระองค์ และอภัยความผิดทั้งหมดที่เขาทำต่อพระองค์ พระองค์จะทำให้ศัตรูสงสารและเมตตาพวกเขา+ 51 (เพราะพวกเขาเป็นประชาชนและเป็นสมบัติของพระองค์+ที่พระองค์พาออกมาจากอียิปต์+ซึ่งเป็นเหมือนเตาถลุงเหล็ก)+ 52 โปรดรับฟังคำขอของผู้รับใช้ของพระองค์ และฟังคำขอ+ของอิสราเอลประชาชนของพระองค์เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาร้องขอ*+ 53 เพราะพระองค์แยกพวกเขาออกมาจากทุกชาติทั่วโลก+ให้เป็นสมบัติของพระองค์แล้ว ตามที่พระองค์บอกไว้ผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์เมื่อพระองค์พาปู่ย่าตายายของพวกเราออกมาจากอียิปต์ ได้โปรดเถอะพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด”
54 พอโซโลมอนอธิษฐานและขอพระยะโฮวาเสร็จแล้ว เขาก็ลุกขึ้นจากหน้าแท่นบูชาของพระยะโฮวา เพราะเขาได้คุกเข่าและชูมือขึ้นฟ้าอยู่หน้าแท่นนี้+ 55 แล้วเขาก็ยืนอวยพรชาวอิสราเอลทั้งหมดที่ชุมนุมกันอยู่นั้นด้วยเสียงดังว่า 56 “ขอพระยะโฮวาได้รับการสรรเสริญ พระองค์ทำให้อิสราเอลประชาชนของพระองค์มีความสงบสุข เรื่องดี ๆ ที่พระองค์สัญญาไว้+ทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ก็เป็นจริงทั้งหมด+ 57 ขอพระยะโฮวาพระเจ้าอยู่กับพวกเราเหมือนที่อยู่กับปู่ย่าตายายของพวกเรา+ ขออย่าให้พระองค์ทอดทิ้งพวกเราเลย+ 58 ขอพระองค์กระตุ้นใจพวกเราให้ใช้ชีวิตตามแนวทางของพระองค์+และเชื่อฟังคำสั่ง กฎหมาย และคำพิพากษาของพระองค์ ซึ่งพระองค์สั่งให้ปู่ย่าตายายของพวกเราทำตาม 59 และไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ขอให้พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเราระลึกถึงเรื่องที่ผมร้องขอต่อพระยะโฮวา เพื่อจะให้ความยุติธรรมกับผู้รับใช้ของพระองค์และอิสราเอลประชาชนของพระองค์ทุกวัน 60 ทุกชาติทั่วโลกจะได้รู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้+ ไม่มีพระเจ้าอื่น+ 61 ขอให้พวกท่านรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าสุดหัวใจ+ ทำตามกฎหมายและคำสั่งของพระองค์เหมือนที่ทำอยู่ในวันนี้”
62 กษัตริย์กับชาวอิสราเอลทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ถวายเครื่องบูชามากมายให้พระยะโฮวา+ 63 กษัตริย์โซโลมอนถวายวัว 22,000 ตัวกับแกะ 120,000 ตัวให้พระยะโฮวาเป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ กษัตริย์กับชาวอิสราเอลทั้งหมดจึงได้อุทิศวิหารให้กับพระยะโฮวา+ 64 วันนั้นกษัตริย์ชำระบริเวณกลางลานหน้าวิหารของพระยะโฮวาให้บริสุทธิ์ เพราะเขาต้องใช้ที่นั่นถวายเครื่องบูชาเผา เครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว และมันจากเครื่องบูชาผูกมิตร เพราะแท่นบูชาทองแดง+ที่อยู่ตรงหน้าพระยะโฮวานั้นเล็กเกินไป ไม่พอที่จะใช้เป็นที่ถวายเครื่องบูชาเผาและเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว รวมทั้งมัน+จากเครื่องบูชาผูกมิตร 65 ตอนนั้นโซโลมอนฉลองเทศกาล+กับชาวอิสราเอลทั้งหมด มีคนจำนวนมากมาจากทั่วแผ่นดินตั้งแต่เลโบฮามัท*ถึงลำน้ำอียิปต์+ พวกเขามาชุมนุมกันต่อหน้าพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเราเป็นเวลา 7 วันและต่ออีก 7 วัน รวมเป็น 14 วัน 66 วันถัดมา* โซโลมอนก็ให้ประชาชนกลับบ้าน พวกเขาก็อวยพรกษัตริย์และกลับบ้านด้วยความสุขและอิ่มเอมใจ เพราะพระยะโฮวาได้ทำสิ่งดีมากมาย+ต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์และต่ออิสราเอลประชาชนของพระองค์
9 เมื่อโซโลมอนสร้างวิหารของพระยะโฮวา วังของกษัตริย์+ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากสร้างเสร็จแล้ว+ 2 พระยะโฮวามาหาโซโลมอนในความฝันเป็นครั้งที่สอง เหมือนที่เคยมาหาเขาที่กิเบโอน+ 3 พระยะโฮวาพูดกับเขาว่า “เราได้ยินที่เจ้าอธิษฐานและขอความเมตตาจากเราแล้ว เราได้ทำให้วิหารที่เจ้าสร้างนี้บริสุทธิ์แล้วโดยให้ชื่อของเราอยู่ที่นั่นตลอดไป+ เราจะเฝ้าดูและระลึกถึงวิหารนั้นเสมอ+ 4 ส่วนเจ้า ถ้าเจ้าซื่อสัตย์และซื่อตรง+ต่อเราสุดหัวใจเหมือนดาวิดพ่อของเจ้า+ ทำทุกสิ่งที่เราสั่งเจ้าไว้+ เชื่อฟังกฎหมายและทำตามคำพิพากษาของเรา+ 5 เราจะให้เจ้าเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลตลอดไป เหมือนที่เราเคยสัญญาไว้กับดาวิดพ่อของเจ้าว่า ‘จะมีเชื้อสายของเจ้าครองบัลลังก์ของอิสราเอลตลอดไป’+ 6 แต่ถ้าเจ้ากับลูกหลานของเจ้าเลิกเชื่อฟังเราและไม่ทำตามคำสั่งและกฎหมายที่เราให้ไว้กับเจ้า แล้วไปรับใช้กราบไหว้พระอื่น+ 7 เราจะกวาดล้างอิสราเอลออกจากแผ่นดินที่เรายกให้พวกเขา+ ส่วนวิหารที่เราได้ทำให้บริสุทธิ์เพื่อยกย่องชื่อของเรา เราจะทำลายให้พ้นไปจากสายตาของเรา+ ชาติอื่น ๆ จะดูหมิ่นเหยียดหยามและเยาะเย้ยอิสราเอล+ 8 แล้ววิหารนี้จะเหลือแต่ซาก+ ทุกคนที่เดินผ่านจะตกใจ พวกเขาจะเยาะเย้ย*และพูดว่า ‘ทำไมพระยะโฮวาทำอย่างนี้กับแผ่นดินและวิหารนี้?’+ 9 คนเหล่านั้นจะบอกว่า ‘เพราะพวกเขาทิ้งพระยะโฮวาพระเจ้าที่พาปู่ย่าตายายของพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ แล้วไปนมัสการพระอื่นและรับใช้กราบไหว้พระเหล่านั้น พระยะโฮวาจึงทำให้พวกเขาเจอหายนะทั้งหมดนี้’”+
10 หลังจากผ่านไป 20 ปีโซโลมอนก็สร้างหอทั้งสอง วิหารของพระยะโฮวา และวังของกษัตริย์เสร็จ+ 11 ฮีราม+กษัตริย์ไทระได้ส่งไม้สนซีดาร์ ไม้สนจูนิเปอร์ รวมทั้งทองคำเท่าที่โซโลมอนต้องการมาให้+ และกษัตริย์โซโลมอนก็ยกเมือง 20 เมืองในเขตกาลิลีให้ฮีราม 12 ฮีรามก็ออกจากไทระไปดูเมืองที่โซโลมอนยกให้ แต่เขาไม่ชอบ 13 เขาบอกว่า “พี่น้องของเรา ทำไมถึงยกเมืองอย่างนี้ให้เราล่ะ?” พวกเขาจึงเรียกเมืองเหล่านั้นว่าแผ่นดินคาบูล*มาถึงทุกวันนี้ 14 และฮีรามได้ส่งทองคำ 120 ตะลันต์*มาให้กษัตริย์โซโลมอน+
15 กษัตริย์โซโลมอนเกณฑ์คน+มาทำงานสร้างวิหารของพระยะโฮวา+ วังของเขา เนินดิน*+ กำแพงกรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งเมืองฮาโซร์+ เมกิดโด+ และเกเซอร์+ 16 (ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์เคยมายึดเมืองเกเซอร์และเอาไฟเผา เขาฆ่าชาวคานาอัน+ที่อยู่ในเมือง แล้วเขาก็ยกเมืองนั้นเป็นของขวัญแต่งงานให้ลูกสาวของเขา+ซึ่งเป็นภรรยาของโซโลมอน) 17 โซโลมอนสร้าง*เมืองเกเซอร์ขึ้นมาใหม่ รวมทั้งเมืองเบธโฮโรนล่าง+ 18 เมืองบาอาลัท+ เมืองทามาร์ในที่กันดารของแผ่นดินนั้น 19 และเมืองต่าง ๆ สำหรับเก็บเสบียงของโซโลมอน เมืองสำหรับเก็บรถม้า+ เมืองสำหรับทหารม้า และสร้างอะไรก็ตามที่เขาอยากจะสร้างในกรุงเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และในเขตแดนทั้งหมดของเขา 20 ส่วนคนที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอล+ คือชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส+ที่ยังหลงเหลืออยู่ 21 ชาวอิสราเอลไม่สามารถกำจัดให้หมดสิ้นได้ ลูกหลานของคนเหล่านี้ที่ยังเหลืออยู่ในแผ่นดินก็ถูกโซโลมอนเกณฑ์ไปทำงานเป็นทาสจนถึงทุกวันนี้+ 22 แต่โซโลมอนไม่ได้ให้ชาวอิสราเอลสักคนเป็นทาส+ พวกเขาได้เป็นนักรบ ข้าราชสำนัก เจ้านาย นายทหาร และหัวหน้าคนขับรถศึกและทหารม้า 23 มีหัวหน้าผู้ดูแล 550 คนที่ดูแลงานของโซโลมอนและคุมคนงานทั้งหมด+
24 ลูกสาวของฟาโรห์+ก็ย้ายจากเมืองของดาวิด+มาอยู่ในวังที่โซโลมอนสร้างให้ แล้วเขาก็สร้างเนินดิน*+
25 โซโลมอนถวายเครื่องบูชาเผาและเครื่องบูชาผูกมิตรปีละ 3 ครั้ง+บนแท่นบูชาที่เขาสร้างให้พระยะโฮวา+ เขายังได้เผาเครื่องบูชาถวายบนแท่นซึ่งอยู่ต่อหน้าพระยะโฮวาด้วย แล้วเขาก็สร้างวิหารนั้นเสร็จ+
26 กษัตริย์โซโลมอนสร้างกองเรือที่เมืองเอซีโอนเกเบอร์+ซึ่งอยู่ใกล้เอโลท ริมทะเลแดงในประเทศเอโดม+ 27 ฮีรามส่งคนของเขาซึ่งเป็นชาวเรือที่มีประสบการณ์ไปกับกองเรือนี้+เพื่อทำงานร่วมกับคนของโซโลมอน 28 พวกเขาไปที่โอฟีร์+และนำทองคำ 420 ตะลันต์*จากที่นั่นมาให้กษัตริย์โซโลมอน
10 ราชินีแห่งเชบาได้ยินชื่อเสียงของโซโลมอนที่ทำให้ชื่อของพระยะโฮวาได้รับเกียรติ+ เธอจึงถามคำถามยาก ๆ*เพื่อทดสอบโซโลมอน+ 2 เธอเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับผู้ติดตามขบวนใหญ่+ มีอูฐบรรทุกน้ำมันหอม+และทองคำกับอัญมณีมากมาย เธอเข้าไปหาโซโลมอนและคุยกับเขาทุกเรื่องที่เธออยากรู้ 3 โซโลมอนก็ตอบคำถามของเธอได้ทุกข้อ ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่กษัตริย์จะอธิบายให้เธอได้
4 เมื่อราชินีแห่งเชบาเห็นว่าโซโลมอนมีสติปัญญามากขนาดไหน+ และเห็นวังที่เขาสร้าง+ 5 อาหารบนโต๊ะของเขา+ พวกข้าราชสำนักที่ร่วมโต๊ะกับเขา พนักงานบริการอาหารและชุดของพวกเขา พนักงานรินเครื่องดื่มถวาย และเครื่องบูชาเผาที่เขาถวายเป็นประจำที่วิหารของพระยะโฮวา เธอก็ตกตะลึง 6 เธอจึงบอกกษัตริย์ว่า “ข่าวที่เราได้ยินในประเทศของเราเรื่องความสำเร็จและสติปัญญาของท่านนั้นเป็นเรื่องจริง 7 แต่เราไม่เชื่อข่าวนั้นจนได้มาเห็นด้วยตาของเราเอง ที่เราได้ยินนั้นยังไม่ถึงครึ่งของสติปัญญาและความมั่งคั่งร่ำรวยของท่านด้วยซ้ำ! 8 ประชาชนของท่านกับข้าราชสำนักที่คอยรับใช้ใกล้ชิดและได้ยินคำพูดที่ฉลาดหลักแหลมของท่านคงมีความสุขมากจริง ๆ+ 9 ขอพระยะโฮวาพระเจ้าของท่านได้รับคำสรรเสริญ+ พระองค์โปรดปรานท่านและให้ท่านครองบัลลังก์อิสราเอล เพราะพระยะโฮวารักอิสราเอลตลอดไป พระองค์จึงตั้งท่านเป็นกษัตริย์เพื่อให้ปกครองด้วยความยุติธรรมและถูกต้องชอบธรรม”
10 แล้วเธอก็มอบทองคำ 120 ตะลันต์*กับน้ำมันหอม+และอัญมณีมากมายให้กษัตริย์+ ตั้งแต่นั้นไม่เคยมีใครเอาน้ำมันหอมเข้ามามากเหมือนที่ราชินีแห่งเชบาเอามาให้กษัตริย์โซโลมอนอีกเลย
11 กองเรือที่ฮีรามส่งไปขนทองคำมาจากโอฟีร์+ก็ขนไม้ประดู่+จำนวนมากรวมทั้งหินมีค่ามาจากที่นั่นด้วย+ 12 กษัตริย์เอาไม้ประดู่มาทำคานสำหรับวิหารของพระยะโฮวาและวังของกษัตริย์ รวมทั้งพิณและเครื่องสายสำหรับนักร้อง+ ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยมีใครเห็นหรือนำไม้ประดู่เข้ามามากขนาดนั้นอีกเลย
13 นอกจากโซโลมอนจะให้ของขวัญมากมายแก่ราชินีแห่งเชบาแล้ว เขายังให้สิ่งที่เธอต้องการและขออีกด้วย แล้วเธอก็กลับประเทศไปพร้อมกับคนของเธอ+
14 แต่ละปีโซโลมอนได้ทองคำหนัก 666 ตะลันต์*+ 15 นอกจากนั้น เขายังได้ทองคำจากพวกพ่อค้าและยังได้สิ่งอื่น ๆ จากคนที่ค้าขาย และจากกษัตริย์อาหรับกับเจ้าเมืองต่าง ๆ ด้วย
16 กษัตริย์โซโลมอนทำโล่ใหญ่ 200 อันจากทองคำผสม+ (แต่ละอันทำจากทองคำหนัก 600 เชเขล*)+ 17 และโล่เล็ก* 300 อันจากทองคำผสม (แต่ละอันทำจากทองคำหนัก 3 มินา*) แล้วกษัตริย์ก็เอาโล่เหล่านี้ไปเก็บไว้ในวังป่าเลบานอน+
18 กษัตริย์ยังทำบัลลังก์ใหญ่ตกแต่งด้วยงาช้าง+และหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์+ 19 หน้าบัลลังก์มีบันได 6 ขั้นและบัลลังก์มีฉัตรอยู่ด้านหลัง บัลลังก์นี้มีที่วางแขนและมีรูปสิงโต+ 2 ตัวตั้งอยู่ข้างบัลลังก์ทั้งซ้ายและขวาข้างละตัว 20 บนบันไดทั้งหกขั้นมีรูปสิงโตตั้งอยู่ 12 ตัว ขั้นละ 2 ตัว อยู่ด้านซ้ายตัวหนึ่งด้านขวาตัวหนึ่ง ไม่เคยมีประเทศไหนทำอย่างนี้เลย
21 ถ้วยเครื่องดื่มของกษัตริย์โซโลมอนทำจากทองคำทั้งหมด และเครื่องใช้ทุกอย่างในวังป่าเลบานอน+ทำจากทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรทำจากเงินเพราะในสมัยของโซโลมอนเงินไม่มีค่าอะไรเลย+ 22 กษัตริย์โซโลมอนมีกองเรือทาร์ชิช+ออกทะเลไปกับกองเรือของฮีราม และทุก ๆ 3 ปีกองเรือทาร์ชิชจะขนทองคำ เงิน งาช้าง+ ลิง และนกยูงกลับมา
23 กษัตริย์โซโลมอนยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์องค์อื่น ๆ ในโลก เพราะเขาร่ำรวยกว่า+และมีสติปัญญามากกว่ากษัตริย์ทุกองค์+ 24 ผู้คนจากทุกมุมโลกพากันมาหาโซโลมอนเพราะต้องการฟังคำพูดที่ฉลาดหลักแหลมซึ่งเขาได้รับการดลใจจากพระเจ้า+ 25 แต่ละคนนำของขวัญมาให้โซโลมอน ทั้งเครื่องเงินและเครื่องทอง เสื้อผ้า ชุดเกราะ น้ำมันหอม ม้า และล่อ มีคนนำของมาให้เขาอย่างนี้ทุกปี
26 โซโลมอนสะสมรถม้ากับม้า*มากขึ้นเรื่อย ๆ เขามีรถม้า 1,400 คันกับม้า 12,000 ตัว*+ และเขาเก็บรถม้ากับม้าเหล่านั้นไว้ที่เมืองต่าง ๆ สำหรับเก็บรถม้า และเอาไว้ใกล้ ๆ เขาในกรุงเยรูซาเล็ม+
27 กษัตริย์ทำให้กรุงเยรูซาเล็มมีเงินมากมายเหมือนก้อนหิน และมีไม้สนซีดาร์มากมายเหมือนต้นมะเดื่อป่าที่เชเฟลาห์+
28 ม้าของโซโลมอนนำเข้ามาจากอียิปต์ และพวกพ่อค้าที่ซื้อม้าให้กษัตริย์โซโลมอนซื้อม้าเหล่านี้มาทั้งฝูง*ตามราคาที่กำหนดไว้+ 29 พวกเขาซื้อรถม้าแต่ละคันจากอียิปต์ด้วยเงินหนัก 600 เชเขล* ส่วนม้าแต่ละตัวซื้อด้วยเงินหนัก 150 เชเขล* แล้วส่งไปขายให้พวกกษัตริย์ชาวฮิตไทต์+และกษัตริย์ซีเรีย
11 นอกจากลูกสาวของฟาโรห์+แล้ว กษัตริย์โซโลมอนยังรักผู้หญิงต่างชาติอีกมากมาย+ ทั้งผู้หญิงชาวโมอับ+ อัมโมน+ เอโดม ไซดอน+ และฮิตไทต์+ 2 ผู้หญิงเหล่านี้มาจากชาติที่พระยะโฮวาเคยสั่งชาวอิสราเอลไว้ว่า “อย่าไปมาหาสู่กับชาติเหล่านั้น* เพราะพวกเขาจะชักชวนพวกเจ้าให้นมัสการพระของพวกเขาแน่ ๆ”+ แต่โซโลมอนทั้งรักทั้งหลงผู้หญิงพวกนั้น 3 เขามีภรรยา 700 คนที่เป็นเจ้าหญิง และมีนางสนมอีก 300 คน ผู้หญิงเหล่านั้นทำให้เขาหลงไป* 4 พอโซโลมอนอายุมากแล้ว+ พวกภรรยาก็ทำให้เขาหลงไป*นมัสการพระอื่น+ และเขาไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าสุดหัวใจเหมือนดาวิดพ่อของเขา 5 โซโลมอนนมัสการเทพธิดาอัชโทเรท+ของชาวไซดอน และพระมิลโคม+ที่น่าเกลียดของชาวอัมโมน 6 โซโลมอนทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่ว และไม่ได้นมัสการพระยะโฮวาสุดหัวใจเหมือนดาวิดพ่อของเขา+
7 ช่วงนั้นโซโลมอนสร้างสถานบูชาไว้บนภูเขา+หน้ากรุงเยรูซาเล็มให้พระเคโมชที่น่าเกลียดของชาวโมอับ และพระโมเลค+ที่น่าเกลียดของชาวอัมโมน+ 8 เขาสร้างสถานบูชาอย่างนั้นให้ภรรยาชาวต่างชาติของเขาทุกคนเพื่อเผาเครื่องบูชาถวายพระของผู้หญิงเหล่านั้น
9 พระยะโฮวาโกรธโซโลมอนมาก เพราะเขาทิ้งพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอล+ที่เคยมาหาเขาในความฝันถึง 2 ครั้ง+ 10 พระยะโฮวาเคยเตือนเขาแล้วว่าอย่าไปนมัสการพระอื่น+ แต่เขาไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ 11 พระยะโฮวาจึงพูดกับโซโลมอนว่า “เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเราและไม่ได้ทำตามคำสั่งของเรา เราจะยึดอาณาจักรนี้ไปจากเจ้าแน่ ๆ และจะเอาไปให้คนรับใช้คนหนึ่งของเจ้า+ 12 แต่เพราะเห็นแก่ดาวิดพ่อของเจ้า เราจะไม่ทำอย่างนั้นตอนเจ้ายังมีชีวิตอยู่แต่จะทำในสมัยของลูกเจ้า+ 13 แต่เราจะไม่เอาอาณาจักรไปทั้งหมด+ เราจะยกตระกูลหนึ่งให้ลูกเจ้า+ เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราและเห็นแก่กรุงเยรูซาเล็มที่เราเลือกไว้”+
14 พระยะโฮวาจึงให้มีคนหนึ่งมาต่อต้านโซโลมอน+ คือฮาดัดชาวเอโดม เขาเป็นลูกหลานกษัตริย์เอโดม+ 15 ตอนที่ดาวิดรบชนะเอโดม+ แม่ทัพโยอาบได้ขึ้นไปฝังศพคนที่ถูกฆ่าและตามฆ่าผู้ชายทุกคนในเอโดม 16 (โยอาบกับชาวอิสราเอลอยู่ที่เอโดม 6 เดือนเพื่อฆ่าผู้ชายจนหมด) 17 แต่ฮาดัดหนีไปอียิปต์กับชาวเอโดมจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นคนรับใช้ของพ่อเขา ตอนนั้นฮาดัดยังเป็นเด็ก 18 พวกเขาออกจากมีเดียนไปที่ปารานแล้วเดินทางต่อไปที่อียิปต์ พวกเขาพาผู้ชายบางคนจากปาราน+ไปด้วย พวกเขาไปหาฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ซึ่งให้บ้านให้ที่ดินและอาหารกับพวกเขา 19 ฟาโรห์ชอบฮาดัดมากจนถึงกับยกน้องสาวของทาเปเนสราชินี*ของเขาให้แต่งงานกับฮาดัด 20 น้องสาวของทาเปเนสมีลูกชายกับฮาดัดคนหนึ่งชื่อเกนูบัท ราชินีทาเปเนสก็เลี้ยงเด็กคนนี้*ในวังของฟาโรห์ เกนูบัทก็อยู่กับลูก ๆ ของฟาโรห์ในวังนั้น
21 ตอนที่อยู่ในอียิปต์ ฮาดัดได้ข่าวว่าดาวิดตายไปตามปู่ย่าตายาย+ และได้ข่าวว่าแม่ทัพโยอาบตายแล้ว+ ฮาดัดจึงขอฟาโรห์ว่า “ให้ผมกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของผมเถอะ” 22 แต่ฟาโรห์ถามเขาว่า “คุณอยู่ที่นี่แล้วขาดเหลืออะไรหรือถึงได้ขอกลับไปบ้านเกิด?” ฮาดัดตอบว่า “ไม่ได้ขาดอะไรครับ แต่ขอให้ผมกลับไปเถอะ”
23 แล้วพระเจ้าให้มีอีกคนหนึ่งมาต่อต้านโซโลมอน+ คือเรโซนลูกเอลียาดา ซึ่งหนีมาจากฮาดัดเอเซอร์+กษัตริย์ประเทศโศบาห์เจ้านายของเขา 24 เขารวบรวมคนจำนวนหนึ่งและตั้งตัวเป็นหัวหน้ากองโจร แต่หลังจากที่แพ้ดาวิด*+ เขากับพรรคพวกก็ไปอยู่ที่กรุงดามัสกัส+และปกครองเมืองนั้น 25 ตอนที่เรโซนปกครองซีเรียเขาจงเกลียดจงชังอิสราเอลมากและต่อสู้อิสราเอลตลอดสมัยของโซโลมอน เขากับฮาดัดสร้างปัญหาให้อิสราเอลอยู่เรื่อย ๆ
26 แล้วก็มีเยโรโบอัม+ลูกเนบัทตระกูลเอฟราอิมจากเมืองเศเรดาห์ เขาเป็นคนรับใช้ของโซโลมอน+ แม่ของเขาเป็นม่ายชื่อเศรุวาห์ เยโรโบอัมก็กบฏ*ต่อกษัตริย์ด้วย+ 27 สาเหตุที่เขากบฏต่อกษัตริย์คือดังนี้ ตอนนั้นโซโลมอนสร้างเนินดิน*+และอุดช่องโหว่บนกำแพงเมืองของดาวิดจนเสร็จ+ 28 เยโรโบอัมเป็นคนเก่ง พอโซโลมอนเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยันก็ตั้งให้เป็นผู้ดูแล+แรงงานที่ถูกเกณฑ์จากตระกูลโยเซฟ 29 วันหนึ่งเยโรโบอัมออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม ผู้พยากรณ์อาหิยาห์+ที่อยู่ในเมืองชิโลห์มาพบเขาบนถนน อาหิยาห์ใส่เสื้อตัวใหม่ เขาสองคนอยู่กันตามลำพังในทุ่งนา 30 อาหิยาห์ฉีกเสื้อตัวใหม่ของเขาออกเป็น 12 ชิ้น 31 แล้วบอกเยโรโบอัมว่า
“ท่านเอาไป 10 ชิ้น เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลบอกว่า ‘เราจะยึดอาณาจักรไปจากมือของโซโลมอนและจะยกให้เจ้า 10 ตระกูล+ 32 แต่เขาจะมีเหลืออยู่หนึ่งตระกูล+เพราะเราเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา+และเห็นแก่กรุงเยรูซาเล็มที่เราเลือกออกมาจากทุกตระกูลในอิสราเอล+ 33 เราจะทำอย่างนี้เพราะประชาชนของเราทิ้งเราไป+นมัสการเทพธิดาอัชโทเรทของชาวไซดอน พระเคโมชของชาวโมอับ และพระมิลโคมของชาวอัมโมน พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามแนวทางของเรา ไม่ได้ทำสิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้อง ไม่เชื่อฟังคำสั่งและคำพิพากษาของเราเหมือนดาวิดพ่อของโซโลมอน 34 แต่เราจะไม่ยึดอาณาจักรทั้งหมดไปจากมือของโซโลมอน และเราจะให้เขาปกครองตลอดชีวิตของเขา เพราะเราเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ที่เราเลือก+ เพราะดาวิดทำตามคำสั่งและกฎหมายของเรา 35 แต่เราจะเอาตำแหน่งกษัตริย์ไปจากลูกชายของเขาและยกให้เจ้า เราจะให้เจ้า 10 ตระกูล+ 36 เราจะยกหนึ่งตระกูลให้ลูกชายของเขา เพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเราจะมีลูกหลานปกครอง*ในเยรูซาเล็มต่อ ๆ ไป+ เพราะเราได้เลือกเมืองนี้ไว้เพื่อให้ชื่อของเราอยู่ที่นั่น 37 เราจะเลือกเจ้า และเจ้าจะได้ปกครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าต้องการ และเจ้าจะเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล 38 และถ้าเจ้าเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของเรา ใช้ชีวิตตามแนวทางของเรา ทำสิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้อง และเชื่อฟังคำสั่งกับคำพิพากษาของเราเหมือนดาวิดผู้รับใช้ของเรา+ เราก็จะอยู่กับเจ้าด้วย เราจะให้เจ้ามีราชวงศ์ปกครองตลอดไปเหมือนที่เราเคยทำกับดาวิด+ และเราจะให้เจ้าปกครองอิสราเอล 39 และเราจะทำให้ลูกหลานของดาวิดอับอายขายหน้าเพราะเรื่องนี้+ แต่จะไม่เป็นอย่างนั้นตลอดไป’”+
40 โซโลมอนจึงหาทางฆ่าเยโรโบอัม แต่เยโรโบอัมหนีไปหาชิชัก+กษัตริย์อียิปต์+ และอยู่ที่อียิปต์จนโซโลมอนตาย
41 เรื่องราวที่เหลือของโซโลมอน ทุกอย่างที่เขาทำและสติปัญญาของเขาก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับโซโลมอนแล้ว+ 42 กษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอลปกครองที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลา 40 ปี 43 แล้วโซโลมอนก็ตายไปตามปู่ย่าตายายและถูกฝังไว้ที่เมืองของดาวิดพ่อของเขา และเรโหโบอัม+ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
12 เรโหโบอัมไปที่เมืองเชเคม+ เพราะชาวอิสราเอลพากันไปที่นั่นเพื่อตั้งเขาเป็นกษัตริย์+ 2 เยโรโบอัมลูกเนบัทได้ยินข่าว (ตอนนั้นเขายังอยู่ที่อียิปต์เพราะหนีกษัตริย์โซโลมอนไปอาศัยที่นั่น)+ 3 พวกเขาก็ส่งคนไปเรียกเยโรโบอัมมา หลังจากนั้นเยโรโบอัมกับชาวอิสราเอล*ก็มาหาเรโหโบอัมและพูดว่า 4 “พ่อของท่านทำให้พวกเราแบกภาระหนัก+ แต่ถ้าท่านทำให้เบาลง พวกเราจะรับใช้ท่าน”
5 กษัตริย์ตอบว่า “กลับไปก่อน อีก 3 วันค่อยมาหาเราใหม่” ประชาชนจึงกลับไป+ 6 กษัตริย์เรโหโบอัมก็ปรึกษากับพวกผู้ใหญ่*ที่เคยรับใช้โซโลมอนพ่อของเขา และถามพวกเขาว่า “ท่านจะแนะนำให้เราตอบพวกเขายังไง?” 7 พวกผู้ใหญ่ตอบกษัตริย์ว่า “ถ้าวันนี้ท่านยอมรับใช้ประชาชน ยอมทำตามคำขอของพวกเขา และพูดกับพวกเขาดี ๆ พวกเขาจะยอมรับใช้ท่านตลอดไป”
8 กษัตริย์ไม่ยอมฟังพวกผู้ใหญ่* แต่ไปปรึกษาคนหนุ่ม ๆ ที่โตมาด้วยกันและตอนนี้มาทำงานให้เขา+ 9 กษัตริย์ถามคนหนุ่มเหล่านั้นว่า “คนพวกนี้มาบอกเราว่า ‘พ่อของท่านทำให้พวกเราแบกภาระหนัก ขอท่านทำให้เบาลงเถอะ’ พวกคุณจะแนะนำให้เราตอบพวกเขายังไง?” 10 พวกคนหนุ่มที่โตมาด้วยกันก็บอกกษัตริย์ว่า “พวกเขาบอกท่านว่า ‘พ่อของท่านทำให้พวกเราแบกภาระหนัก ขอท่านทำให้เบาลงเถอะ’ ท่านควรตอบคนพวกนี้ว่า ‘เราจะทำให้หนักกว่าพ่อของเราอีก* 11 พ่อของเราทำให้พวกคุณแบกภาระหนัก แต่เราจะทำให้หนักขึ้นอีก พ่อของเราใช้แส้ธรรมดาเฆี่ยนพวกคุณ แต่เราจะใช้แส้หนามเฆี่ยนพวกคุณ’”
12 เยโรโบอัมกับประชาชนกลับมาหาเรโหโบอัมในวันที่สามเพราะกษัตริย์บอกว่า “อีก 3 วันค่อยกลับมาหาเรา”+ 13 แต่กษัตริย์ไม่ได้พูดกับประชาชนเหล่านั้นดี ๆ อย่างที่พวกผู้ใหญ่*แนะนำ 14 เขาพูดตามคำแนะนำของคนหนุ่มว่า “พ่อของเราทำให้พวกคุณแบกภาระหนัก แต่เราจะทำให้หนักขึ้นอีก พ่อของเราใช้แส้ธรรมดาเฆี่ยนพวกคุณ แต่เราจะใช้แส้หนามเฆี่ยนพวกคุณ” 15 กษัตริย์ไม่ยอมฟังประชาชน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะพระยะโฮวา+ เพื่อให้เป็นไปตามที่พระยะโฮวาพูดกับเยโรโบอัมลูกเนบัทผ่านทางอาหิยาห์+ชาวชิโลห์
16 เมื่อชาวอิสราเอลทั้งหมดเห็นว่ากษัตริย์ไม่ยอมฟัง พวกเขาจึงพูดกับกษัตริย์ว่า “พวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับดาวิด? พวกเราไม่ได้มรดกอะไรจากลูกของเจสซีสักหน่อย ชาวอิสราเอลทั้งหลาย กลับไปหาพระของตัวเองเถอะ! พวกดาวิด ดูแลราชวงศ์ของตัวเองก็แล้วกัน!” แล้วชาวอิสราเอลก็พากันกลับบ้าน*+ 17 แต่เรโหโบอัมยังปกครองชาวอิสราเอลที่อยู่ในเมืองต่าง ๆ ของยูดาห์ต่อไป+
18 กษัตริย์เรโหโบอัมจึงส่งอาโดรัม+ไปหาพวกอิสราเอล เขาเป็นผู้ดูแลคนที่ถูกเกณฑ์มาทำงาน แต่พวกนั้นเอาหินขว้างเขาจนตาย ส่วนกษัตริย์เรโหโบอัมขึ้นรถม้าหนีกลับมากรุงเยรูซาเล็ม+ 19 ชาวอิสราเอลก็กบฏ+ต่อราชวงศ์ดาวิดมาจนถึงทุกวันนี้
20 พอชาวอิสราเอลได้ยินว่าเยโรโบอัมกลับมาแล้ว พวกเขาก็เรียกเยโรโบอัมมายังที่ประชุมและตั้งเขาเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล+ ไม่มีใครสนับสนุนราชวงศ์ดาวิดเลยยกเว้นตระกูลยูดาห์+
21 เมื่อเรโหโบอัมกลับมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม เขาก็รีบรวบรวมทหารจากตระกูลยูดาห์และเบนยามินที่ฝึกมาอย่างดี*จำนวน 180,000 คนไปสู้กับพวกอิสราเอล เพื่อยึดอาณาจักรกลับมาเป็นของเรโหโบอัมลูกโซโลมอนอีกครั้งหนึ่ง+ 22 พระเจ้าเที่ยงแท้จึงส่งข่าวมาถึงผู้พยากรณ์*เชไมอาห์+ว่า 23 “ไปบอกเรโหโบอัมลูกของโซโลมอนกษัตริย์ยูดาห์และบอกพวกยูดาห์และเบนยามินและประชาชนที่เหลือว่า 24 ‘พระยะโฮวาบอกว่า “อย่าไปสู้กับพี่น้องชาวอิสราเอลของเจ้าเลย พวกเจ้าทุกคนกลับบ้านไปเถอะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเราเอง”’”+ พวกเขาก็เชื่อฟังพระยะโฮวาและกลับบ้านตามที่พระยะโฮวาบอก
25 หลังจากนั้นเยโรโบอัมสร้าง*เมืองเชเคม+ในเขตเทือกเขาของเอฟราอิมและอยู่ที่นั่น แล้วเขาก็ไปสร้าง*เมืองเปนูเอลด้วย+ 26 เยโรโบอัมคิดในใจว่า “อาณาจักรนี้จะกลับไปเป็นของราชวงศ์ดาวิดอีกแน่+ 27 ถ้าประชาชนยังขึ้นไปถวายเครื่องบูชาที่วิหารของพระยะโฮวาในกรุงเยรูซาเล็ม+ หัวใจของประชาชนก็จะกลับไปหากษัตริย์เรโหโบอัมของยูดาห์ แล้วพวกเขาก็จะฆ่าเราและกลับไปหากษัตริย์เรโหโบอัมของยูดาห์อีก” 28 พอปรึกษาหารือกันแล้ว กษัตริย์ก็ทำรูปลูกวัวทองคำ 2 ตัว+ แล้วบอกประชาชนว่า “อย่าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มให้ลำบากเลย ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่คือพระเจ้าของพวกคุณที่พาพวกคุณออกมาจากแผ่นดินอียิปต์”+ 29 เขาตั้งรูปนั้นไว้ที่เมืองเบธเอล+ตัวหนึ่ง และที่เมืองดาน+ตัวหนึ่ง 30 ชาวอิสราเอลจึงทำบาป+ และประชาชนก็เดินทางไปไกลถึงเมืองดานเพื่อจะนมัสการรูปลูกวัวที่นั่น
31 เยโรโบอัมยังได้สร้างสถานบูชาบนที่สูงหลายแห่งและแต่งตั้งคนที่ไม่ได้มาจากตระกูลเลวีเป็นปุโรหิต+ 32 เขายังเริ่มจัดงานเทศกาลวันที่ 15 เดือน 8 เหมือนเทศกาลในยูดาห์+ เขาถวายเครื่องบูชาบนแท่นที่เมืองเบธเอล+เพื่อนมัสการรูปลูกวัวที่เขาสร้างขึ้น และแต่งตั้งปุโรหิตไว้ที่เมืองเบธเอลเพื่อทำงานในสถานบูชาบนที่สูงที่เขาสร้างนั้น 33 เยโรโบอัมเริ่มถวายเครื่องบูชาบนแท่นที่เขาสร้างขึ้นในเมืองเบธเอลในวันที่ 15 เดือน 8 ตามที่เขากำหนดเอง เขาได้ตั้งเทศกาลสำหรับชาวอิสราเอลและขึ้นไปเผาเครื่องบูชาที่แท่นนั้น
13 พระยะโฮวาสั่งให้คนของพระองค์คนหนึ่ง+เดินทางจากยูดาห์ไปที่เบธเอล ตอนนั้นเยโรโบอัมยืนถวายเครื่องบูชาเผาอยู่หน้าแท่นบูชา+ 2 คนของพระเจ้าร้องบอกแท่นตามคำสั่งของพระยะโฮวาว่า “แท่นบูชา แท่นบูชา! พระยะโฮวาบอกว่า ‘จะมีชายคนหนึ่งชื่อโยสิยาห์+เกิดมาในราชวงศ์ดาวิด เขาจะเอาปุโรหิตของสถานบูชาบนที่สูง ซึ่งถวายเครื่องบูชาบนแท่นนี้มาเผาบนเจ้า และจะเผากระดูกมนุษย์บนเจ้าด้วย’”+ 3 ในวันนั้น คนของพระเจ้าทำการอัศจรรย์อย่างหนึ่ง เขาพูดว่า “นี่เป็นการอัศจรรย์ที่ยืนยันว่าพระยะโฮวาพูดอย่างนี้จริง แท่นบูชานี้จะแตกออกจากกัน และขี้เถ้า*บนแท่นจะร่วงลงมา”
4 ตอนนั้นกษัตริย์เยโรโบอัมกำลังถวายเครื่องบูชาอยู่หน้าแท่น พอเขาได้ยินคนของพระเจ้าเที่ยงแท้พูดกับแท่นที่เบธเอลอย่างนั้น เขาก็ชี้ไปที่คนของพระเจ้าและสั่งว่า “จับมันไว้!”+ ทันใดนั้นมือที่ชี้อยู่ก็ลีบไป*และชักกลับมาไม่ได้+ 5 แท่นบูชาก็แตกออกจากกัน และขี้เถ้าก็ร่วงลงมาเหมือนที่พระยะโฮวาได้บอกกับคนของพระเจ้าเที่ยงแท้
6 กษัตริย์พูดกับคนของพระเจ้าเที่ยงแท้ว่า “ได้โปรดอ้อนวอนพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณและอธิษฐานขอให้มือของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมด้วยเถอะ”+ คนของพระเจ้าเที่ยงแท้ก็อธิษฐานขอพระยะโฮวาแล้วมือของกษัตริย์ก็กลับมาเป็นปกติ 7 กษัตริย์พูดกับคนของพระเจ้าเที่ยงแท้ว่า “ไปที่วังของเราเถอะ ไปกินอาหารและเราจะให้ของขวัญคุณ” 8 แต่คนของพระเจ้าเที่ยงแท้บอกกษัตริย์ว่า “ถึงท่านจะยกทรัพย์สมบัติในวังให้ผมครึ่งหนึ่ง ผมก็จะไม่ไปกับท่าน และจะไม่กินอาหารหรือดื่มน้ำที่นี่ด้วย 9 เพราะพระยะโฮวาสั่งผมไว้ว่า ‘อย่ากินอาหารหรือดื่มน้ำ และตอนขากลับอย่าใช้เส้นทางเดียวกับตอนที่มา’” 10 เขาจึงกลับไปอีกทางหนึ่ง ไม่ได้ใช้เส้นทางเดียวกับตอนที่เขามาเบธเอล
11 มีผู้พยากรณ์ชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเบธเอล พวกลูกชายของเขากลับมาบ้านและเล่าให้พ่อฟังว่าคนของพระเจ้าเที่ยงแท้ทำอะไรบ้างในวันนั้นที่เบธเอล และเล่าด้วยว่าคนนั้นพูดอะไรกับกษัตริย์ พอพวกลูกชายเล่าเสร็จ 12 พ่อก็ถามพวกเขาว่า “คนนั้นไปทางไหน?” ลูกชายก็บอกทางที่คนของพระเจ้าเที่ยงแท้ไป 13 เขาบอกลูกชายว่า “ใส่อานบนหลังลาให้พ่อที” พวกลูกชายก็ใส่อานบนหลังลา แล้วผู้พยากรณ์ชราก็ขี่ไป
14 ผู้พยากรณ์ชราตามคนของพระเจ้าเที่ยงแท้ไปและพบเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่จึงพูดกับเขาว่า “คุณเป็นคนของพระเจ้าเที่ยงแท้ที่มาจากยูดาห์ใช่ไหม?”+ เขาตอบว่า “ใช่” 15 ผู้พยากรณ์ชราบอกเขาว่า “มากินอาหารที่บ้านผมสิ” 16 แต่เขาบอกว่า “ผมไปกับคุณหรือรับคำเชิญของคุณไม่ได้หรอก และผมจะไม่กินอาหารหรือดื่มน้ำที่นี่ด้วย 17 เพราะพระยะโฮวาสั่งผมว่า ‘อย่ากินอาหารหรือดื่มน้ำที่นั่นและตอนขากลับอย่าใช้เส้นทางเดียวกับตอนที่มา’” 18 ผู้พยากรณ์ชราบอกเขาว่า “ผมก็เป็นผู้พยากรณ์เหมือนกัน และพระยะโฮวาใช้ทูตสวรรค์มาบอกผมว่า ‘พาเขามาที่บ้านเจ้าแล้วเอาอาหารกับน้ำให้เขากิน’” (ผู้พยากรณ์ชราหลอกเขา) 19 เขาจึงกลับไปกินอาหารและดื่มน้ำที่บ้านของผู้พยากรณ์ชรา
20 ตอนที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระยะโฮวาส่งข่าวมาถึงผู้พยากรณ์ชราที่พาเขากลับมา 21 แล้วผู้พยากรณ์ชราก็พูดกับคนของพระเจ้าเที่ยงแท้ที่มาจากยูดาห์ว่า “พระยะโฮวาบอกว่า ‘เพราะเจ้าขัดคำสั่งพระยะโฮวาและไม่เชื่อฟังพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า 22 เจ้าย้อนกลับมากินอาหารและดื่มน้ำที่นี่ทั้ง ๆ ที่เราสั่งว่าอย่าทำ ดังนั้น ศพของเจ้าจะไม่ได้ฝังไว้กับปู่ย่าตายาย’”+
23 พอคนของพระเจ้าเที่ยงแท้กินอาหารและดื่มน้ำแล้ว ผู้พยากรณ์ชราก็ใส่อานบนหลังลาให้เขา 24 แล้วเขาก็ออกเดินทาง แต่ระหว่างทางมีสิงโตตัวหนึ่งมาฆ่าเขา+ ศพเขาถูกทิ้งอยู่บนถนน มีลายืนอยู่ข้างศพเขา สิงโตก็ยืนอยู่ใกล้ ๆ ด้วย 25 คนที่ผ่านไปมาเห็นศพของเขาบนถนนและเห็นสิงโตยืนอยู่ใกล้ ๆ ศพนั้น พวกเขาก็เข้ามาในเมืองที่ผู้พยากรณ์ชราอาศัยอยู่และเล่าเรื่องนี้ให้คนในเมืองฟัง
26 เมื่อผู้พยากรณ์ชราที่พาเขากลับมาได้ยินข่าวก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “นั่นเป็นคนของพระเจ้าเที่ยงแท้ที่ขัดคำสั่งของพระยะโฮวา+ พระยะโฮวาจึงให้สิงโตมากัดเขาตายตามที่พระยะโฮวาบอกไว้”+ 27 ผู้พยากรณ์ชราบอกลูกชายว่า “เอาอานใส่หลังลาให้พ่อที” พวกเขาก็ทำตาม 28 เขาขี่ลาไปและเจอศพของคนนั้นบนถนน มีลากับสิงโตยืนอยู่ใกล้ ๆ สิงโตไม่ได้กินศพนั้นและไม่ได้กัดลาด้วย 29 ผู้พยากรณ์ก็ยกศพนั้นวางบนหลังลา พากลับมาที่เมืองของตัวเอง แล้วก็ไว้ทุกข์และฝังศพให้เขา 30 ผู้พยากรณ์ชราวางศพเขาไว้ในอุโมงค์ฝังศพของตัวเอง และคร่ำครวญว่า “ไม่น่าเลย พี่น้องของฉัน!” 31 พอฝังศพเสร็จก็บอกลูกชายว่า “ถ้าพ่อตายก็ให้เอาศพพ่อฝังไว้กับศพคนของพระเจ้าเที่ยงแท้คนนี้ และเอากระดูกพ่อวางไว้ใกล้ ๆ กระดูกเขา+ 32 สิ่งที่ชายคนนี้พูดไว้ตามคำสั่งของพระยะโฮวาเกี่ยวกับแท่นบูชาในเบธเอลและสถานบูชาบนที่สูง+ในเมืองต่าง ๆ ของสะมาเรียจะเป็นจริงแน่นอน”+
33 แม้จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่เยโรโบอัมก็ยังไม่เลิกทำชั่ว เขายังแต่งตั้งคนจากตระกูลอื่น+เป็นปุโรหิตในสถานบูชาบนที่สูง ใครอยากเป็นปุโรหิต เขาก็ให้เป็นและบอกว่า “ให้คนนี้เป็นปุโรหิตในสถานบูชาบนที่สูง”+ 34 นี่เป็นความผิดของราชวงศ์เยโรโบอัม+ที่ทำให้พวกเขาพินาศและสาบสูญไปจากโลก+
14 วันหนึ่งอาบียาห์ลูกของเยโรโบอัมป่วยหนัก 2 เยโรโบอัมบอกภรรยาว่า “ขอให้เธอปลอมตัวไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นภรรยาเยโรโบอัม แล้วไปหาผู้พยากรณ์อาหิยาห์ที่เมืองชิโลห์ เขาเป็นคนที่บอกว่าฉันจะได้เป็นกษัตริย์ของชนชาตินี้+ 3 เอาขนมปัง 10 ก้อน ขนมและน้ำผึ้งขวดหนึ่งไปให้เขาด้วย แล้วเขาจะบอกเธอว่าลูกของเราจะเป็นยังไง”
4 ภรรยาของเยโรโบอัมก็ทำตามและไปที่บ้านของอาหิยาห์ในเมืองชิโลห์+ ตอนนั้นอาหิยาห์มองไม่เห็นเพราะแก่มากแล้ว
5 แต่พระยะโฮวาบอกอาหิยาห์ก่อนหน้านั้นแล้วว่า “ภรรยาเยโรโบอัมจะมาถามเจ้าเรื่องลูกชาย เพราะลูกชายของเธอกำลังป่วย เราจะบอกเจ้าว่าควรพูดกับเธออย่างไร เธอจะปลอมตัวมา”
6 พออาหิยาห์ได้ยินเสียงเธอเดินเข้าประตูมา เขาก็บอกว่า “เข้ามาสิภรรยาเยโรโบอัม จะปลอมตัวมาทำไม? พระเจ้าสั่งให้ผมบอกข่าวร้ายกับท่าน 7 ไปบอกเยโรโบอัมว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลบอกว่า “เราเลือกเจ้าออกมาจากหมู่ประชาชนและตั้งให้เป็นผู้นำอิสราเอลประชาชนของเรา+ 8 แล้วเราก็ยึดอาณาจักรนี้จากราชวงศ์ดาวิดและยกให้เจ้า+ แต่เจ้าไม่เหมือนดาวิดผู้รับใช้ของเราที่ทำตามคำสั่งของเรา เชื่อฟังเราสุดหัวใจและทำแต่สิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้อง+ 9 เจ้ากลับทำชั่วยิ่งกว่าทุกคนที่เคยอยู่ก่อนเจ้า เจ้าสร้างพระอีกองค์หนึ่งและทำรูปหล่อโลหะเพื่อยั่วโมโหเรา+ และเจ้ายังหันหลังให้เราด้วย+ 10 เพราะฉะนั้น เราจะทำให้ราชวงศ์เยโรโบอัมเจอหายนะ และเราจะกำจัดผู้ชาย*ทุกคนในตระกูลของเยโรโบอัมแม้จะเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุดในอิสราเอล เราจะกวาดล้างราชวงศ์เยโรโบอัม+จนเกลี้ยงเหมือนกวาดมูลสัตว์! 11 คนในตระกูลเยโรโบอัมที่ตายในเมืองจะถูกหมากิน และคนที่ตายในทุ่งจะถูกนกกิน พระยะโฮวาพูดไว้อย่างนี้”’
12 “กลับไปที่วังของท่านเถอะ ทันทีที่ท่านก้าวเท้าเข้าไปในเมือง ลูกของท่านจะตาย 13 ชาวอิสราเอลจะไว้ทุกข์และฝังศพเขา มีเขาคนเดียวในครอบครัวของเยโรโบอัมที่จะได้รับการฝังศพ เพราะเขาเป็นคนเดียวในราชวงศ์เยโรโบอัมที่พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลเห็นว่ามีความดีอยู่บ้าง 14 พระยะโฮวาจะตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งให้ปกครองอิสราเอล เขาจะกำจัดราชวงศ์เยโรโบอัม+เมื่อถึงเวลา ซึ่งอาจจะเป็นตอนนี้ก็ได้ 15 พระยะโฮวาจะฟาดฟันอิสราเอลให้ราบเหมือนต้นอ้อที่เอนลู่อยู่ในน้ำ และพระองค์จะถอนรากถอนโคนอิสราเอลออกจากแผ่นดินที่ดีนี้ซึ่งพระองค์ยกให้ปู่ย่าตายายของพวกเขา+ และพระองค์จะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปถึงดินแดนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ*+ เพราะพวกเขาทำเสาศักดิ์สิทธิ์+เพื่อยั่วให้พระยะโฮวาโมโห 16 และพระองค์จะละทิ้งอิสราเอลเพราะเยโรโบอัมทำบาปและทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย”+
17 แล้วภรรยาเยโรโบอัมก็กลับไปเมืองทีร์ซาห์ ทันทีที่เธอมาถึงประตูวัง ลูกของเธอก็ตาย 18 พวกเขาฝังศพลูกของเธอ และชาวอิสราเอลก็ไว้ทุกข์ให้เขา ตามที่พระยะโฮวาบอกไว้ผ่านทางผู้พยากรณ์อาหิยาห์ผู้รับใช้ของพระองค์
19 เรื่องราวที่เหลือของเยโรโบอัม ทั้งเรื่องสงคราม+และการปกครองของเขาก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์อิสราเอลแล้ว 20 เยโรโบอัมปกครองทั้งหมด 22 ปี หลังจากนั้นเขาก็ตายไปตามปู่ย่าตายาย+ และนาดับลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน+
21 ในช่วงนั้น เรโหโบอัมลูกโซโลมอนเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ เรโหโบอัมเป็นกษัตริย์เมื่ออายุ 41 ปี เขาปกครอง 17 ปีที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองที่พระยะโฮวาเลือก+ออกมาจากทุกตระกูลในอิสราเอลเพื่อให้ชื่อของพระองค์อยู่ที่นั่น+ แม่ของเรโหโบอัมชื่อนาอามาห์เป็นชาวอัมโมน+ 22 ชาวยูดาห์ทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่ว+ พวกเขาทำบาปและทำให้พระองค์โมโหมากกว่าที่ปู่ย่าตายายของพวกเขาเคยทำ+ 23 พวกเขายังสร้างสถานบูชาบนที่สูง แท่งหินศักดิ์สิทธิ์ และเสาศักดิ์สิทธิ์+ไว้มากมายบนภูเขาทุกลูก+และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น+ 24 และยังมีโสเภณีชายประจำวิหารในแผ่นดินนั้นด้วย+ พวกเขาทำสิ่งที่น่าเกลียดตามอย่างชาติต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาไล่ออกไปให้พ้นจากชาวอิสราเอล
25 ในปีที่ 5 ที่กษัตริย์เรโหโบอัมปกครอง กษัตริย์ชิชัก+แห่งอียิปต์มาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม+ 26 เขาเอาสมบัติในวิหารของพระยะโฮวาและในวังของกษัตริย์ไป+ เขาเอาไปทุกอย่างรวมทั้งโล่ทองคำมากมายที่โซโลมอนทำไว้+ 27 กษัตริย์เรโหโบอัมจึงทำโล่ทองแดงมาแทน และมอบให้หัวหน้าทหารยามซึ่งเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าวัง 28 เมื่อกษัตริย์มาที่วิหารของพระยะโฮวา พวกทหารยามจะเอาโล่มาถือไว้ หลังจากนั้นก็เอาไปเก็บในห้องของทหารยามตามเดิม
29 เรื่องราวที่เหลือของเรโหโบอัมและทุกอย่างที่เขาทำก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ยูดาห์แล้ว+ 30 เรโหโบอัมกับเยโรโบอัมทำสงครามกันตลอดเวลา+ 31 แล้วเรโหโบอัมก็ตายไปตามปู่ย่าตายายและถูกฝังไว้กับปู่ย่าตายายในเมืองของดาวิด+ แม่ของเขาชื่อนาอามาห์เป็นชาวอัมโมน+ แล้วอาบียัม*+ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
15 ในปีที่ 18 ที่กษัตริย์เยโรโบอัม+ลูกเนบัทปกครองอิสราเอล อาบียัมก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์+ 2 เขาปกครองที่กรุงเยรูซาเล็ม 3 ปี แม่ของเขาชื่อมาอาคาห์+เป็นหลานสาว*ของอาบีชาโลม* 3 เขาทำชั่วเหมือนพ่อของเขา และไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าของเขาสุดหัวใจเหมือนดาวิดบรรพบุรุษของเขา 4 แต่เพราะเห็นแก่ดาวิด+ พระยะโฮวาพระเจ้าของเขาจึงให้อาบียัมมีลูกหลานปกครอง*ในกรุงเยรูซาเล็ม+ และให้กรุงเยรูซาเล็มคงอยู่ต่อไป 5 เพราะดาวิดทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าถูกต้องและไม่เคยขัดคำสั่งของพระองค์ตลอดชีวิต ยกเว้นเรื่องอุรีอาห์ชาวฮิตไทต์+ 6 เรโหโบอัมกับเยโรโบอัมทำสงครามกันตลอดชีวิต+
7 เรื่องราวที่เหลือของอาบียัมและทุกอย่างที่เขาทำก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ยูดาห์แล้ว+ อาบียัมกับเยโรโบอัมก็ทำสงครามกันด้วย+ 8 อาบียัมตายไปตามปู่ย่าตายายและถูกฝังไว้ที่เมืองของดาวิด แล้วอาสา+ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน+
9 ในปีที่ 20 ที่กษัตริย์เยโรโบอัมปกครองอิสราเอล อาสาก็ขึ้นปกครองยูดาห์ 10 เขาปกครองที่กรุงเยรูซาเล็ม 41 ปี ย่าของเขาชื่อมาอาคาห์+เป็นหลานสาว*ของอาบีชาโลม 11 อาสาทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าถูกต้อง+เหมือนดาวิดบรรพบุรุษของเขา 12 เขาเนรเทศโสเภณีชายประจำวิหารออกไปจากแผ่นดิน+และกำจัดรูปเคารพที่น่าขยะแขยง*ที่ปู่ย่าตายายของเขาทำไว้+ 13 อาสาถึงกับถอดมาอาคาห์+ที่เป็นย่าของเขาออกจากตำแหน่งราชมารดา เพราะนางทำเสาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นรูปเคารพที่น่าเกลียด เขาฟันรูปเคารพ+ของมาอาคาห์แล้วเอาไปเผาที่หุบเขาขิดโรน+ 14 แต่เขาไม่ได้ทำลายสถานบูชาบนที่สูง+ ถึงอย่างนั้น อาสาก็รับใช้พระยะโฮวาสุดหัวใจตลอดชีวิต 15 เขาเอาของที่ทำจากเงิน ทอง และภาชนะต่าง ๆ ที่เขากับพ่อได้อุทิศให้พระเจ้า*มาใส่ไว้ในวิหารของพระยะโฮวา+
16 อาสากับบาอาชา+กษัตริย์อิสราเอลทำสงครามกันตลอดเวลา 17 กษัตริย์บาอาชาแห่งอิสราเอลมาโจมตียูดาห์และเริ่มสร้าง*เมืองรามาห์+เพื่อไม่ให้ใครเข้าออกเขตแดนของกษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์+ 18 อาสาจึงเอาเงินและทองคำที่เหลืออยู่ในคลังวิหารของพระยะโฮวาและในคลังทรัพย์ที่วังของกษัตริย์มอบให้กับคนรับใช้ แล้วส่งพวกเขาไปหาเบนฮาดัดกษัตริย์ซีเรีย+ที่กรุงดามัสกัส เบนฮาดัดเป็นลูกของทับริมโมนและเป็นหลานเฮซีโอน อาสาส่งข่าวไปว่า 19 “ให้เรากับท่านมาทำสัญญากันเหมือนที่พ่อของเราเคยทำกับพ่อของท่าน เราส่งเงินและทองคำมาให้ท่านเป็นของขวัญ ขอให้ท่านยกเลิกสัญญาที่ทำกับกษัตริย์บาอาชาแห่งอิสราเอล เขาจะได้ถอนทัพไปจากเราซะที” 20 เบนฮาดัดทำตามที่กษัตริย์อาสาขอ เขาส่งพวกแม่ทัพไปตีเมืองในเขตอิสราเอล พวกเขาตีเมืองอิโยน+ ดาน+ อาเบลเบธมาอาคาห์ ทั่วเขตคินเนเรทและนัฟทาลี 21 เมื่อบาอาชาได้ยินข่าวก็เลิกสร้าง*เมืองรามาห์ทันที แล้วกลับไปอยู่ที่เมืองทีร์ซาห์+ 22 กษัตริย์อาสาจึงเรียกชาวยูดาห์ทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนเดียวให้มาขนหินกับไม้ที่บาอาชาเอามาสร้างเมืองรามาห์ แล้วกษัตริย์อาสาก็เอาหินกับไม้เหล่านั้นไปสร้าง*เมืองเกบา+ในเขตเบนยามินกับเมืองมิสปาห์+
23 เรื่องราวที่เหลือของอาสา ทั้งความยิ่งใหญ่ ทุกอย่างที่เขาทำและเมืองที่เขาสร้าง*ก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ยูดาห์แล้ว แต่ตอนที่เขาอายุมากเขาเป็นโรคที่เท้า+ 24 แล้วอาสาก็ตายไปตามปู่ย่าตายายและถูกฝังไว้ในเมืองของดาวิดบรรพบุรุษของเขา แล้วเยโฮชาฟัท+ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
25 นาดับ+ลูกเยโรโบอัมขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอลในปีที่ 2 ที่กษัตริย์อาสาปกครองยูดาห์ นาดับปกครองอิสราเอลอยู่ 2 ปี 26 เขาทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่วและทำบาปเหมือนพ่อของเขา+ซึ่งเป็นต้นเหตุให้อิสราเอลทำผิด+ 27 บาอาชาลูกอาหิยาห์ตระกูลอิสสาคาร์วางแผนกำจัดนาดับ เขาฆ่านาดับที่เมืองกิบเบโธน+ของชาวฟีลิสเตียตอนที่นาดับกับพวกอิสราเอลกำลังล้อมเมืองนั้น 28 บาอาชาฆ่านาดับในปีที่ 3 ที่กษัตริย์อาสาปกครองยูดาห์และขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 29 พอเขาเป็นกษัตริย์ เขาก็ฆ่าทุกคนในราชวงศ์เยโรโบอัม ไม่ปล่อยให้ใครในตระกูลเยโรโบอัมมีชีวิตรอดเลย เขากำจัดคนเหล่านั้นตามที่พระยะโฮวาบอกไว้ผ่านทางอาหิยาห์ชาวชิโลห์+ผู้รับใช้ของพระองค์ 30 ที่เป็นอย่างนี้เพราะเยโรโบอัมทำบาปและเป็นต้นเหตุให้ชาวอิสราเอลทำผิด และทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลโกรธมาก 31 เรื่องราวที่เหลือของนาดับและทุกอย่างที่เขาทำก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์อิสราเอลแล้ว 32 อาสากับกษัตริย์บาอาชาแห่งอิสราเอลทำสงครามกันตลอดเวลา+
33 ในปีที่ 3 ที่กษัตริย์อาสาปกครองยูดาห์ บาอาชาลูกอาหิยาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล เขาปกครองที่เมืองทีร์ซาห์ 24 ปี+ 34 แต่เขาทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่ว+ และทำบาปเหมือนเยโรโบอัมที่เป็นต้นเหตุให้ชาวอิสราเอลทำผิด+
16 พระยะโฮวาส่งข่าวมาถึงบาอาชาผ่านทางเยฮู+ลูกฮานานี+ว่า 2 “เรายกเจ้าขึ้นจากดินและให้ปกครองอิสราเอลประชาชนของเรา+ แต่เจ้ากลับทำตามเยโรโบอัมและเป็นต้นเหตุให้อิสราเอลประชาชนของเราทำบาป ทำให้เราโกรธพวกเขาเพราะพวกเขาทำบาป+ 3 ดังนั้น เราจะกวาดล้างบาอาชากับราชวงศ์ และเราจะทำให้ราชวงศ์นี้เป็นเหมือนราชวงศ์เยโรโบอัม+ลูกเนบัท 4 คนในตระกูลบาอาชาที่ตายในเมืองจะถูกหมากิน และคนที่ตายในทุ่งจะถูกนกกิน”
5 เรื่องราวที่เหลือของบาอาชา ทั้งงานที่เขาทำและความยิ่งใหญ่ของเขาก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์อิสราเอลแล้ว 6 บาอาชาก็ตายไปตามปู่ย่าตายายและถูกฝังไว้ที่เมืองทีร์ซาห์+ แล้วเอลาห์ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 7 พระยะโฮวาประกาศคำพิพากษาบาอาชากับราชวงศ์ของเขาผ่านทางผู้พยากรณ์เยฮูลูกฮานานี เพราะเขาทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่วโดยทำให้พระองค์โกรธเหมือนราชวงศ์เยโรโบอัม และยังฆ่านาดับด้วย+
8 ในปีที่ 26 ที่กษัตริย์อาสาปกครองยูดาห์ เอลาห์ลูกบาอาชาขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล เขาปกครองที่เมืองทีร์ซาห์ 2 ปี 9 ศิมรีข้าราชการของเขาซึ่งดูแลกองทัพรถศึกครึ่งหนึ่ง ได้วางแผนกำจัดเอลาห์ตอนเขาอยู่ที่เมืองทีร์ซาห์ ตอนนั้นเอลาห์ดื่มจนเมาอยู่ที่บ้านของอาร์ซา ซึ่งเป็นผู้ดูแลคนในวังที่เมืองทีร์ซาห์ 10 ศิมรีเข้าไปที่นั่นและฆ่าเอลาห์+ในปีที่ 27 ที่กษัตริย์อาสาปกครองยูดาห์ แล้วศิมรีก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 11 ทันทีที่ได้เป็นกษัตริย์ เขาฆ่าทุกคนในราชวงศ์บาอาชา ไม่เว้นผู้ชาย*แม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นญาติ*หรือเพื่อนของบาอาชา 12 ศิมรีกำจัดราชวงศ์บาอาชาจนหมดสิ้น ตามที่พระยะโฮวาได้พิพากษาบาอาชาผ่านทางผู้พยากรณ์เยฮู+ 13 นี่เป็นเพราะบาอาชากับเอลาห์ลูกของเขาทำบาปไว้มาก และเป็นต้นเหตุให้อิสราเอลทำผิดและทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลโกรธเพราะทำรูปเคารพที่ไร้ค่า+ 14 เรื่องราวที่เหลือของเอลาห์และทุกอย่างที่เขาทำก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์อิสราเอลแล้ว
15 ในปีที่ 27 ที่กษัตริย์อาสาปกครองยูดาห์ ศิมรีขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล เขาปกครองที่เมืองทีร์ซาห์ 7 วัน ตอนนั้นกองทัพอิสราเอลไปโจมตีเมืองกิบเบโธน+ของชาวฟีลิสเตีย 16 เมื่อกองทัพอิสราเอลที่ตั้งค่ายอยู่ได้ยินข่าวว่า “ศิมรีวางแผนร้ายและฆ่ากษัตริย์แล้ว” ชาวอิสราเอลก็พากันตั้งแม่ทัพอมรี+ขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอลที่ค่ายทหารในวันนั้นเอง 17 แล้วอมรีกับชาวอิสราเอลที่อยู่กับเขาก็ยกทัพจากกิบเบโธนไปล้อมเมืองทีร์ซาห์ 18 พอศิมรีเห็นว่าเมืองถูกยึดแล้ว เขาก็เข้าไปในป้อมที่วังของกษัตริย์ และจุดไฟเผาวังจนตัวเองตาย+ 19 นี่เป็นเพราะศิมรีทำบาปและทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่วเหมือนเยโรโบอัม และเพราะเขาเป็นต้นเหตุให้ชาวอิสราเอลทำผิด+ 20 เรื่องราวที่เหลือของศิมรีและแผนร้ายของเขาก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์อิสราเอลแล้ว
21 ตอนนั้นชาวอิสราเอลแตกแยกกันเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนทิบนีลูกกีนัทและอยากให้เขาเป็นกษัตริย์ อีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนอมรี 22 แต่คนที่สนับสนุนอมรีเอาชนะคนที่สนับสนุนทิบนีลูกกีนัทได้ ทิบนีตายและอมรีได้เป็นกษัตริย์
23 ในปีที่ 31 ที่กษัตริย์อาสาปกครองยูดาห์ อมรีได้ขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล เขาปกครองเป็นเวลา 12 ปี เขาอยู่ที่เมืองทีร์ซาห์ 6 ปี 24 เขาซื้อภูเขาสะมาเรียจากเชเมอร์เป็นเงินหนัก 2 ตะลันต์* แล้วก็สร้างเมืองขึ้นบนภูเขานั้น เขาตั้งชื่อเมืองที่เขาสร้างว่าสะมาเรีย*+ตามชื่อของเชเมอร์เจ้าของภูเขา 25 อมรีทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่ว เขาชั่วยิ่งกว่าทุกคนที่เคยอยู่ก่อนเขา+ 26 เขาทำบาปเหมือนเยโรโบอัมลูกเนบัทที่เป็นต้นเหตุให้อิสราเอลทำผิด และทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าโกรธอิสราเอลเพราะพวกเขาทำรูปพระเท็จ+ 27 เรื่องราวที่เหลือของอมรี ทั้งงานที่เขาทำและความเก่งกล้าของเขาก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์อิสราเอลแล้ว 28 อมรีก็ตายไปตามปู่ย่าตายายและถูกฝังไว้ที่กรุงสะมาเรีย แล้วอาหับ+ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
29 อาหับลูกอมรีขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอลในปีที่ 38 ที่กษัตริย์อาสาปกครองยูดาห์ อาหับลูกอมรีปกครองที่กรุงสะมาเรีย+ 22 ปี 30 พระยะโฮวาเห็นว่าอาหับลูกอมรีชั่วยิ่งกว่าทุกคนที่เคยอยู่ก่อนเขา+ 31 เขาไม่เพียงทำชั่วเหมือนเยโรโบอัม+ลูกเนบัทเท่านั้น แต่ยังแต่งงานกับเยเซเบล+ลูกสาวกษัตริย์เอ็ทบาอัลของชาวไซดอน+และเริ่มกราบไหว้นมัสการพระบาอัล+ด้วย 32 นอกจากนั้น เขาทำแท่นบูชาให้พระบาอัลในวิหารที่เขาสร้างให้พระบาอัล+ในกรุงสะมาเรีย 33 อาหับยังทำเสาศักดิ์สิทธิ์+ด้วย เขาทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลโกรธยิ่งกว่ากษัตริย์อิสราเอลทุกองค์ก่อนหน้าเขา
34 ในสมัยที่อาหับปกครอง ฮีเอลชาวเบธเอลสร้างเมืองเยรีโคขึ้นมาใหม่ พอเขาวางฐานรากเมืองนั้น อาบีรัมลูกคนโตของเขาก็ตาย พอเขาตั้งประตูเมือง เสกุบลูกคนสุดท้องก็ตาย ตามที่พระยะโฮวาเคยบอกไว้ผ่านทางโยชูวาลูกนูน+
17 เอลียาห์*+ชาวทิชบีที่อาศัยอยู่ในกิเลอาด+พูดกับอาหับว่า “ผมขอสาบานต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลผู้มีชีวิตอยู่และเป็นผู้ที่ผมรับใช้ว่า จะไม่มีน้ำค้างและฝนตกอีกหลายปีจนกว่าผมจะสั่ง!”+
2 พระยะโฮวาบอกเอลียาห์ว่า 3 “ออกจากที่นี่แล้วไปทางตะวันออก ไปซ่อนตัวที่หุบเขาเครีททางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 4 ให้เจ้าดื่มน้ำในลำธารนั้น และเราจะให้อีกาเอาอาหารไปให้เจ้าที่นั่น”+ 5 เอลียาห์ก็ไปและทำตามที่พระยะโฮวาสั่งทันที เขาไปอยู่ที่หุบเขาเครีททางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 6 อีกาเอาขนมปังและเนื้อมาให้เขาตอนเช้ารอบหนึ่งตอนเย็นรอบหนึ่ง เขาดื่มน้ำจากลำธาร+ 7 พอผ่านไประยะหนึ่ง ลำธารนั้นก็แห้ง+เพราะไม่มีฝนตกในแผ่นดินนั้นเลย
8 แล้วพระยะโฮวาก็สั่งเขาว่า 9 “ไปที่เมืองศาเรฟัทในเขตไซดอนและอยู่ที่นั่น เราจะให้แม่ม่ายคนหนึ่งเลี้ยงอาหารเจ้าที่นั่น”+ 10 เขาก็ไปที่เมืองศาเรฟัท พอมาถึงทางเข้าเมือง มีแม่ม่ายคนหนึ่งกำลังเก็บฟืนอยู่ เอลียาห์เรียกเธอและบอกว่า “ขอน้ำถ้วยเล็ก ๆ ให้ผมกินหน่อย”+ 11 ตอนที่เธอกำลังไปเอาน้ำ เขาก็ร้องบอกว่า “ขอขนมปังให้ผมสักชิ้นด้วย” 12 เธอจึงบอกเขาว่า “ฉันขอสาบานต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของท่านผู้มีชีวิตอยู่ว่าฉันไม่มีขนมปังเลย ในไหใบใหญ่มีแป้งแค่กำมือเดียว ในไหใบเล็กก็มีน้ำมันนิดหน่อย+ ฉันกำลังเก็บฟืนสองสามท่อนไปที่บ้าน แล้วจะทำขนมปังให้ตัวเองกับลูกชายกิน พอกินมื้อนี้แล้วเราก็คงจะอดตาย”
13 เอลียาห์จึงพูดกับแม่ม่ายคนนั้นว่า “ไม่ต้องกลัว ไปทำอย่างที่คุณบอกเถอะ แต่เอาของที่มีอยู่มาทำขนมปังกลมก้อนเล็ก ๆ ให้ผมก่อน แล้วค่อยทำให้คุณกับลูกกิน 14 เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลบอกว่า ‘แป้งในไหใบใหญ่และน้ำมันในไหใบเล็กจะไม่มีวันหมด จนกว่าจะถึงวันที่พระยะโฮวาทำให้ฝนตกบนแผ่นดินนี้’”+ 15 เธอจึงทำตามที่เอลียาห์บอก แล้วแม่ม่ายคนนี้กับเอลียาห์และครอบครัวของเธอก็มีอาหารกินไปอีกนาน+ 16 แป้งในไหใบใหญ่และน้ำมันในไหใบเล็กก็ไม่หมดไป เหมือนที่พระยะโฮวาพูดไว้ผ่านทางเอลียาห์
17 พอเหตุการณ์นี้ผ่านไป ลูกชายของแม่ม่ายที่เป็นเจ้าของบ้านก็ล้มป่วย เขาป่วยหนักจนตาย+ 18 เธอพูดกับเอลียาห์ว่า “คนของพระเจ้าเที่ยงแท้ ฉันไปทำอะไรให้ท่านหรือ? ท่านมาที่นี่เพื่อเตือนให้ฉันนึกถึงความผิดของตัวเองและทำให้ลูกของฉันตายหรือ?”+ 19 แต่เขาบอกว่า “ส่งลูกชายของคุณมาให้ผม” เอลียาห์อุ้มลูกชายของเธอขึ้นไปที่ห้องบนดาดฟ้าซึ่งเขาพักอยู่ แล้ววางเด็กลงบนเตียงที่เขานอน+ 20 เขาอ้อนวอนพระยะโฮวาว่า “ได้โปรดเถอะ พระยะโฮวาพระเจ้าของผม+ พระองค์ทำร้ายแม่ม่ายที่ผมอาศัยอยู่ด้วยและทำให้ลูกชายของเธอตายหรือ?” 21 แล้วเขาก็นอนทับบนตัวเด็กคนนั้น 3 ครั้งและอ้อนวอนพระยะโฮวาว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของผม โปรดทำให้เด็กคนนี้ฟื้นจากตายด้วย” 22 พระยะโฮวาฟังเอลียาห์+ เด็กนั้นก็ฟื้นจากตายและมีชีวิตอีกครั้ง+ 23 เอลียาห์อุ้มเด็กคนนั้นลงมาจากห้องบนดาดฟ้าแล้วเข้าไปในบ้าน เขาเอาเด็กไปให้แม่และพูดว่า “ดูนี่สิ ลูกของคุณฟื้นแล้ว”+ 24 ผู้หญิงคนนั้นพูดกับเอลียาห์ว่า “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าท่านเป็นคนของพระเจ้าจริง ๆ+ และเรื่องที่พระยะโฮวาพูดผ่านทางท่านนั้นเป็นความจริง”
18 ต่อมา ในปีที่ 3+ ที่เกิดความแห้งแล้ง พระยะโฮวาส่งข่าวมาถึงเอลียาห์ว่า “เจ้าต้องไปหาอาหับ เราจะทำให้ฝนตก”+ 2 เอลียาห์จึงไปหาอาหับ ในเวลานั้นเกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนัก+ที่สะมาเรีย
3 ตอนนั้นอาหับเรียกโอบาดีห์มา เขาเป็นผู้ดูแลวังของอาหับ (โอบาดีห์เป็นคนที่เกรงกลัวพระยะโฮวามาก 4 ตอนที่เยเซเบล+สั่งให้ฆ่าผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวา โอบาดีห์พาผู้พยากรณ์ 100 คนไปซ่อนในถ้ำ ถ้ำละ 50 คน และเอาอาหารกับน้ำไปให้) 5 อาหับสั่งโอบาดีห์ว่า “ไปสำรวจตามน้ำพุและหุบเขาให้ทั่ว เผื่อจะได้หญ้ามาให้ม้ากับล่อกิน ฝูงสัตว์จะได้ไม่ตายกันหมด” 6 พวกเขาจึงแยกกันไปสำรวจคนละทาง อาหับไปทางหนึ่ง โอบาดีห์ไปอีกทางหนึ่ง
7 ตอนที่โอบาดีห์เดินทางอยู่ เอลียาห์มาพบเขากลางทาง โอบาดีห์จำเขาได้ทันทีเลยหมอบลงและพูดว่า “ท่านคือเอลียาห์ใช่ไหม?”+ 8 เอลียาห์ตอบว่า “ใช่แล้ว ไปบอกเจ้านายของคุณว่า ‘เอลียาห์อยู่นี่’” 9 แต่โอบาดีห์บอกว่า “ผมทำผิดอะไรหรือ ท่านจึงส่งผมที่เป็นผู้รับใช้ของท่านไปให้กษัตริย์อาหับฆ่า? 10 ผมขอสาบานต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของท่านผู้มีชีวิตอยู่ว่า อาหับเจ้านายของผมส่งคนไปตามหาท่านทั่วทุกประเทศแล้ว พอพวกเขาบอกว่าท่านไม่ได้อยู่ที่นั่น เจ้านายของผมก็บังคับให้พวกเขาสาบานว่าไม่พบท่าน+ 11 ตอนนี้ท่านสั่งให้ผมไปบอกเจ้านายของผมว่า ‘เอลียาห์อยู่นี่’ 12 พอผมไปแล้ว พลังของพระยะโฮวาจะรับตัวท่านไปไหน+ผมก็ไม่รู้ ถ้าผมบอกกษัตริย์อาหับแล้วเขามาหาท่านแต่ไม่เจอ กษัตริย์จะฆ่าผมแน่ ที่จริงผมเป็นคนเกรงกลัวพระยะโฮวามาตั้งแต่เด็ก 13 มีใครเล่าให้ท่านฟังไหมว่าผมทำอะไรตอนที่เยเซเบลสั่งฆ่าผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวา? ตอนนั้นผมซ่อนผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวา 100 คนไว้ในถ้ำ ถ้ำละ 50 คนและคอยส่งอาหารกับน้ำไปให้+ 14 ตอนนี้ถ้าผมไปบอกเจ้านายตามที่ท่านสั่งว่า ‘เอลียาห์อยู่นี่’ เขาจะฆ่าผมแน่” 15 แต่เอลียาห์บอกว่า “ผมขอสาบานต่อพระยะโฮวาผู้เป็นจอมทัพซึ่งมีชีวิตอยู่และเป็นผู้ที่ผมรับใช้ว่า วันนี้ผมจะต้องเจออาหับให้ได้”
16 โอบาดีห์จึงไปบอกอาหับ อาหับจึงไปหาเอลียาห์
17 พออาหับเห็นเอลียาห์ก็บอกว่า “แกใช่ไหมที่ทำให้อิสราเอลเดือดร้อนขนาดนี้?”
18 เอลียาห์ตอบว่า “ผมไม่ได้เป็นคนทำให้อิสราเอลเดือดร้อน คนที่ทำก็คือท่านกับพ่อของท่านต่างหาก เพราะท่านไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระยะโฮวาและไปนมัสการพระบาอัลทั้งหลาย+ 19 ขอให้เรียกชาวอิสราเอลมาหาผมที่ภูเขาคาร์เมล+ และเรียกผู้พยากรณ์ 450 คนของพระบาอัลกับผู้พยากรณ์ 400 คนที่นมัสการเสาศักดิ์สิทธิ์+ซึ่งกินอาหารที่โต๊ะของเยเซเบลมาด้วย” 20 อาหับจึงส่งข่าวไปถึงชาวอิสราเอลทุกคน และให้ผู้พยากรณ์มารวมกันที่ภูเขาคาร์เมล
21 เอลียาห์พูดกับประชาชนว่า “พวกคุณจะทำตัวสองฝักสองฝ่ายไปอีกนานแค่ไหน?+ ถ้าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ก็นมัสการพระองค์เถอะ+ แต่ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ก็นมัสการพระบาอัลเลย!” แต่ประชาชนไม่ตอบเขาสักคำเดียว 22 แล้วเอลียาห์ก็พูดกับประชาชนว่า “ผมเป็นผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาคนเดียวที่เหลืออยู่+ ส่วนผู้พยากรณ์ของพระบาอัลมี 450 คน 23 ไปเอาวัวหนุ่มมา 2 ตัว แล้วให้ผู้พยากรณ์พระบาอัลเลือกไปตัวหนึ่ง หั่นเป็นท่อน ๆ แล้ววางไว้บนฟืน แต่อย่าจุดไฟ ผมจะเตรียมวัวหนุ่มอีกตัวหนึ่ง แล้วจะเอาวางไว้บนฟืน แต่ผมจะไม่จุดไฟเหมือนกัน 24 ให้พวกเขาร้องเรียกชื่อพระเจ้าของตัวเอง+ ส่วนผมจะร้องเรียกชื่อพระยะโฮวา ถ้าพระเจ้าองค์ไหนส่งไฟลงมาก็แสดงว่าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้”+ ประชาชนทั้งหมดก็บอกว่า “ตกลงตามนั้น”
25 เอลียาห์พูดกับผู้พยากรณ์ของพระบาอัลว่า “เลือกวัวหนุ่มตัวหนึ่งไปจัดการก่อนเพราะพวกคุณมีคนมากกว่า แล้วก็ร้องเรียกชื่อพระของพวกคุณด้วย แต่อย่าจุดไฟ” 26 พวกเขาจึงเอาวัวหนุ่มที่เลือกไว้ไปจัดการ แล้วร้องเรียกชื่อพระบาอัลตั้งแต่เช้าจนเที่ยง และร้องว่า “ได้โปรดเถอะพระบาอัล ตอบพวกเราด้วย!” แต่ไม่มีเสียงตอบ+ พวกเขาเต้นโขยกเขยกไปรอบ ๆ แท่นบูชา 27 ประมาณเที่ยง เอลียาห์ก็เริ่มเยาะเย้ยพวกเขาว่า “ร้องดัง ๆ เลย! พระบาอัลเป็นพระเจ้าไม่ใช่หรือ?+ ท่านอาจกำลังคิดอะไรอยู่ อาจจะเข้าห้องน้ำ* หรืออาจจะนอนหลับและต้องให้ใครไปปลุก” 28 พวกเขาก็ร้องจนสุดเสียง เอามีดกับหอกเชือดเนื้อเชือดตัวตามธรรมเนียมจนเลือดท่วมตัว 29 เที่ยงวันผ่านไปพวกเขาก็ยังทำพิธีอย่างบ้าคลั่ง*จนถึงเวลาถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวในตอนเย็น แต่ก็ไม่มีเสียงตอบและไม่มีใครฟัง+
30 เอลียาห์พูดกับประชาชนว่า “มาทางนี้” ประชาชนทั้งหมดก็มาหาเขา เขาก็ซ่อมแซมแท่นบูชาของพระยะโฮวาที่ถูกรื้อไปแล้ว+ 31 เอลียาห์เอาหินมา 12 ก้อนเท่ากับจำนวนตระกูลของลูกหลานของยาโคบซึ่งพระยะโฮวาเคยพูดกับเขาว่า “เจ้าจะมีชื่อว่าอิสราเอล”+ 32 เขาเอาหินนั้นทำเป็นแท่นบูชา+เพื่อยกย่องชื่อพระยะโฮวา แล้วก็ขุดร่องไว้รอบแท่น พื้นที่รอบแท่นนั้นกว้างพอที่จะหว่านเมล็ดพืชได้ 2 ซีห์* 33 จากนั้นเขาก็เรียงฟืน หั่นวัวหนุ่มเป็นท่อน ๆ วางไว้บนฟืน+ แล้วเขาก็สั่งว่า “เอาไหใบใหญ่ 4 ใบใส่น้ำให้เต็มแล้วเทลงบนเครื่องบูชากับฟืน” 34 เอลียาห์บอกว่า “เอาอีก” พวกเขาก็ทำอีก เอลียาห์สั่งอีกครั้งว่า “เอาอีกรอบหนึ่ง” พวกเขาก็ทำเป็นรอบที่สาม 35 น้ำก็ไหลนองรอบแท่น เขายังสั่งให้เทน้ำใส่ในร่องให้เต็มด้วย
36 พอถึงเวลาที่มีการถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวในตอนเย็น+ ผู้พยากรณ์เอลียาห์ก้าวออกมาและพูดว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของอับราฮัม+ อิสอัค+ และอิสราเอล วันนี้ขอให้รู้ทั่วกันว่าพระองค์เป็นพระเจ้าของอิสราเอล และให้รู้ว่าผมเป็นผู้รับใช้ของพระองค์และผมทำทั้งหมดนี้ตามคำสั่งของพระองค์+ 37 ได้โปรดเถอะพระยะโฮวา โปรดตอบผมเพื่อประชาชนเหล่านี้จะได้รู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ และรู้ว่าพระองค์กำลังทำให้หัวใจของพวกเขากลับมาหาพระองค์”+
38 ทันใดนั้น ไฟจากพระยะโฮวาก็ลงมาจากฟ้า เผาเครื่องบูชา+ รวมทั้งฟืน หิน และดิน จนน้ำในร่องแห้งไปหมด+ 39 พอประชาชนทุกคนเห็น พวกเขาก็รีบหมอบลงกับพื้นและพูดว่า “พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้! พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้!” 40 เอลียาห์สั่งพวกเขาว่า “จับผู้พยากรณ์ของพระบาอัลไว้! อย่าให้หนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!” พวกเขาก็จับผู้พยากรณ์เหล่านั้นไว้ทันที เอลียาห์เอาตัวพวกนั้นลงไปฆ่าที่ลำน้ำคีโชน+
41 แล้วเอลียาห์ก็พูดกับอาหับว่า “เชิญท่านขึ้นไปกินและดื่มเถอะ เพราะผมได้ยินเสียงฝนตกหนักแล้ว”+ 42 อาหับก็ขึ้นไปกินและดื่ม ส่วนเอลียาห์ขึ้นไปบนยอดเขาคาร์เมล คุกเข่าและซบหน้าลงกับพื้น+ 43 เขาบอกคนรับใช้ว่า “ช่วยขึ้นไปบนยอดเขาแล้วมองไปทางทะเลหน่อย” คนรับใช้ก็ขึ้นไปดูและบอกว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลยครับ” เอลียาห์สั่งเขาให้กลับไปดูถึง 7 ครั้ง 44 พอถึงครั้งที่เจ็ด คนรับใช้ก็บอกว่า “ท่านครับ! มีเมฆก้อนเล็ก ๆ เท่าฝ่ามือลอยขึ้นมาจากทะเล” เอลียาห์จึงบอกว่า “ไปบอกอาหับว่า ‘เตรียมรถม้าแล้วรีบลงเขาไปจะได้ไม่ติดฝน’” 45 ตอนนั้นท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึน ลมพัดแรง แล้วฝนก็เทลงมาอย่างหนัก+ อาหับก็ขึ้นรถม้ากลับไปเมืองยิสเรเอล+ 46 พระยะโฮวาให้กำลังเอลียาห์ เขารวบชุดยาวขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอว* แล้ววิ่งนำหน้าอาหับไปตลอดทางจนถึงเมืองยิสเรเอล
19 แล้วอาหับ+ก็เล่าให้เยเซเบล+ฟังว่าเอลียาห์ทำอะไรบ้าง และบอกว่าเอลียาห์ได้ฆ่าฟันพวกผู้พยากรณ์ของพระบาอัลตายหมด+ 2 เยเซเบลจึงใช้คนไปบอกเอลียาห์ว่า “ถ้าภายในวันพรุ่งนี้เวลานี้ ฉันไม่ได้ฆ่าแกให้ตายเหมือนผู้พยากรณ์พวกนั้น ก็ขอให้พระทั้งหลายลงโทษฉันให้หนักกว่านั้นอีก!” 3 เอลียาห์กลัวมากจึงหนีเอาชีวิตรอด+ เขาไปที่เมืองเบเออร์เชบา+ในเขตยูดาห์+ และทิ้งคนรับใช้ไว้ที่นั่น 4 เขาเดินเข้าไปในที่กันดารเป็นเวลาหนึ่งวัน นั่งอยู่ใต้พุ่มไม้ และอธิษฐานขอให้ตาย เขาพูดว่า “พอกันที! ขอพระยะโฮวาเอาชีวิตผมไปเถอะ+ ผมไม่ได้ดีไปกว่าปู่ย่าตายายของผมเลย”
5 แล้วเขาก็นอนหลับไปใต้พุ่มไม้นั้น จู่ ๆ ก็มีทูตสวรรค์มาแตะตัวเขา+และบอกว่า “ลุกขึ้นมากินอาหารเถอะ”+ 6 เมื่อเขามองดูก็เห็นว่าใกล้ ๆ หัวเขามีขนมปังกลมก้อนหนึ่งวางอยู่บนหินร้อนและมีเหยือกน้ำวางอยู่ เขากินและดื่ม เสร็จแล้วก็นอนต่อ 7 หลังจากนั้นทูตสวรรค์ของพระยะโฮวามาหาเขาเป็นครั้งที่สอง ทูตสวรรค์แตะตัวเขาและบอกว่า “ลุกขึ้นมากินอาหารเถอะ เพราะการเดินทางครั้งนี้ไกลเกินกำลังของคุณ” 8 เขาจึงลุกขึ้นมากินอาหารและดื่มน้ำ อาหารนั้นทำให้เขามีกำลังเดินต่อไปอีก 40 วัน 40 คืนจนถึงภูเขาโฮเรบ ภูเขาของพระเจ้าเที่ยงแท้+
9 เมื่อไปถึง เขาเข้าไปพักค้างคืนในถ้ำแห่งหนึ่ง+ แล้วพระยะโฮวาพูดกับเขาว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” 10 เขาตอบว่า “ผมทุ่มเทเพื่อพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นจอมทัพจนสุดชีวิตจิตใจแล้ว+ เพราะชาวอิสราเอลไม่ทำตามสัญญาที่มีกับพระองค์+ พวกเขารื้อแท่นบูชาของพระองค์และฆ่าฟันผู้พยากรณ์ของพระองค์+ ตอนนี้เหลือผมอยู่คนเดียว แล้วพวกเขาก็ตามฆ่าผมอยู่”+ 11 แต่พระเจ้าบอกเขาว่า “ออกไปยืนบนภูเขาต่อหน้าพระยะโฮวา” ทันใดนั้นพระยะโฮวาก็ผ่านไป+ มีลมพายุพัดแรงมากจนภูเขาแยกออกจากกันและหน้าผาแตกออกมาต่อหน้าพระยะโฮวา+ แต่พระยะโฮวาไม่ได้อยู่ในลมพายุ พอลมพายุผ่านไปก็มีแผ่นดินไหว+ แต่พระยะโฮวาไม่ได้อยู่ในแผ่นดินไหวเหมือนกัน 12 พอแผ่นดินไหวสงบก็มีไฟลุก+ แต่พระยะโฮวาไม่ได้อยู่ในไฟ พอไฟผ่านไปก็มีเสียงเบา ๆ ที่อ่อนโยน+ 13 พอเอลียาห์ได้ยินเสียงนั้น เขาเอาเสื้อผู้พยากรณ์ปิดหน้าไว้+แล้วออกไปยืนที่ปากถ้ำ มีเสียงถามเขาว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” 14 เขาตอบว่า “ผมทุ่มเทเพื่อพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นจอมทัพจนสุดชีวิตจิตใจแล้ว เพราะชาวอิสราเอลไม่ทำตามสัญญาที่มีกับพระองค์+ พวกเขารื้อแท่นบูชาของพระองค์และฆ่าฟันผู้พยากรณ์ของพระองค์ ตอนนี้เหลือผมอยู่คนเดียว แล้วพวกเขาก็ตามฆ่าผมอยู่”+
15 พระยะโฮวาพูดกับเขาว่า “กลับไปเถอะ ไปยังที่กันดารของดามัสกัส พอไปถึงให้เจิมฮาซาเอล+เป็นกษัตริย์ซีเรีย 16 และให้เจ้าเจิมเยฮู+หลานของนิมชีเป็นกษัตริย์อิสราเอล แล้วเจิมเอลีชา*ลูกของชาฟัทชาวเมืองอาเบลเมโหลาห์เป็นผู้พยากรณ์ต่อจากเจ้า+ 17 ใครที่รอดจากคมดาบของฮาซาเอล+จะถูกเยฮูฆ่า+ และใครที่รอดจากคมดาบของเยฮูจะถูกเอลีชาฆ่า+ 18 เรายังมีอีก 7,000 คนในอิสราเอล+ที่ไม่ได้คุกเข่านมัสการบาอัล+ และไม่ได้จูบบาอัล”+
19 เอลียาห์เดินทางจากที่นั่นและเจอเอลีชาลูกของชาฟัทกำลังไถนาอยู่ มีวัว 12 คู่ไถนาอยู่ข้างหน้าเขา เขาอยู่กับวัวคู่ที่ 12 เอลียาห์จึงเข้าไปหาเขาและเอาเสื้อผู้พยากรณ์+คลุมให้เขา 20 เอลีชาก็ทิ้งวัวและวิ่งตามเอลียาห์ เขาพูดว่า “ขอให้ผมจูบลาพ่อแม่ผมก่อน แล้วผมจะตามท่านไป” เอลียาห์ตอบว่า “ไปสิ ผมไม่ห้ามคุณหรอก” 21 เอลีชาก็กลับไป และเอาวัวคู่หนึ่งถวายเป็นเครื่องบูชา เขาเอาเครื่องมือไถนาทำเป็นฟืนเพื่อต้มเนื้อวัวแล้วแจกให้ชาวบ้าน พวกเขาก็กินกัน หลังจากนั้นเอลีชาก็ตามไปรับใช้เอลียาห์+
20 กษัตริย์เบนฮาดัด+แห่งซีเรีย+นำทหารทั้งหมดของเขากับกองทัพม้าและรถศึกของกษัตริย์อีก 32 องค์ขึ้นไปล้อม+และโจมตีกรุงสะมาเรีย+ 2 เขาส่งคนไปบอกกษัตริย์อาหับ+แห่งอิสราเอลที่อยู่ในเมืองนั้นว่า “เบนฮาดัดพูดว่า 3 ‘เงินและทองของท่านต้องเป็นของเรา ภรรยาและลูก ๆ ที่ดีที่สุดของท่านก็เป็นของเราด้วย’” 4 กษัตริย์อิสราเอลตอบว่า “ท่านกษัตริย์ ตัวเรากับทุกสิ่งทุกอย่างของเราก็เป็นของท่านแล้วอย่างที่ท่านพูด”+
5 คนส่งข่าวกลับมาอีกครั้งและพูดว่า “เบนฮาดัดบอกว่า ‘ก่อนหน้านี้เราสั่งให้ท่านส่งเงิน ทอง ภรรยาและลูก ๆ มาให้เรา 6 แต่พรุ่งนี้เวลานี้ เราจะส่งคนของเราไปหาท่าน พวกเขาจะค้นวังของท่านและบ้านคนรับใช้ทุกซอกทุกมุม และพวกเขาจะยึดของมีค่าทุกอย่างของท่านไป’”
7 กษัตริย์อิสราเอลจึงเรียกพวกผู้นำ*มาและบอกว่า “ดูสิ เขาตั้งใจจะทำให้เราเดือดร้อน เขาอยากได้ภรรยาและลูก ๆ ของเรา เงินและทองของเรา เราก็ยอมเขาแล้ว” 8 พวกผู้นำ*กับประชาชนจึงบอกเขาว่า “อย่าไปยอมเขา อย่าทำตามที่เขาบอก” 9 อาหับจึงบอกคนส่งข่าวของเบนฮาดัดว่า “ช่วยไปบอกท่านกษัตริย์ว่า ‘เรายอมทำตามคำสั่งแรกของท่านทุกอย่าง แต่คำสั่งนี้เราทำตามไม่ได้’” คนส่งข่าวจึงไปบอกเบนฮาดัดตามนั้น
10 เบนฮาดัดจึงส่งข่าวมาหาอาหับว่า “ถ้าเรายังปล่อยให้สะมาเรียเหลือดินมากพอที่จะให้ทหารของเราคนละหนึ่งกำมือ ก็ขอให้พระทั้งหลายลงโทษเราให้หนักกว่านั้นอีก!” 11 กษัตริย์อิสราเอลตอบว่า “ไปบอกเขาว่า ‘ถ้าสงครามยังไม่เริ่มก็อย่าอวดเหมือนกับว่าชนะสงครามแล้ว’”+ 12 เมื่อเบนฮาดัดได้ยินคำนี้ตอนที่เขากำลังดื่มกับกษัตริย์ทั้งหลายอยู่ในเต็นท์ เขาก็สั่งคนของเขาว่า “เตรียมตัวโจมตี!” พวกเขาก็เตรียมตัวโจมตีเมืองนั้น
13 แต่มีผู้พยากรณ์คนหนึ่งมาหากษัตริย์อาหับ+แห่งอิสราเอลและบอกว่า “พระยะโฮวาบอกว่า ‘เจ้าเห็นทหารกองใหญ่นี้ไหม? วันนี้เราจะทำให้เจ้าชนะพวกเขา แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือยะโฮวา’”+ 14 อาหับถามว่า “พระองค์จะใช้ใคร?” ผู้พยากรณ์ตอบว่า “พระยะโฮวาบอกว่า ‘คนรับใช้ของพวกเจ้าเมือง’” อาหับก็ถามอีกว่า “ใครจะเริ่มโจมตี?” เขาตอบว่า “ท่านนั่นแหละ”
15 อาหับนับคนรับใช้ของพวกเจ้าเมืองได้ 232 คน หลังจากนั้นเขานับทหารอิสราเอลทั้งหมดได้ 7,000 คน 16 พวกเขายกทัพออกไปตอนเที่ยง ขณะที่เบนฮาดัดอยู่ในเต็นท์กำลังดื่มจนเมากับกษัตริย์ 32 องค์ที่มาช่วยเขา 17 เมื่อคนรับใช้ของพวกเจ้าเมืองออกมาเป็นพวกแรก เบนฮาดัดก็ส่งคนไปดู พวกเขากลับมารายงานว่า “มีคนออกมาจากกรุงสะมาเรีย” 18 เบนฮาดัดก็สั่งว่า “ถ้าพวกเขาออกมาเพื่อจะขอสงบศึก ก็ให้จับมาเป็น ๆ แต่ถึงพวกเขาจะออกมาเพื่อสู้กับเรา ก็ให้จับมาเป็น ๆ เหมือนกัน” 19 คนรับใช้ของพวกเจ้าเมืองก็ออกมาจากเมืองและมีกองทัพตามมาด้วย 20 พวกเขาฆ่าฟันพวกซีเรียจนพวกนั้นต้องหนีไป+ ชาวอิสราเอลก็ไล่ตาม กษัตริย์เบนฮาดัดแห่งซีเรียขี่ม้าหนีไปกับทหารม้ากลุ่มหนึ่ง 21 แต่กษัตริย์อิสราเอลไล่ฆ่าฟันพวกข้าศึกที่ขี่ม้าและรถศึกจนกองทัพซีเรียพ่ายแพ้ย่อยยับ
22 ต่อมา ผู้พยากรณ์คนเดิม+ไปหากษัตริย์อิสราเอลและบอกว่า “ให้ท่านเสริมกองทัพให้แข็งแกร่งและวางแผนว่าจะทำยังไง+ เพราะต้นปีหน้า*กษัตริย์ซีเรียจะขึ้นมาสู้กับท่านอีก”+
23 พวกข้าราชสำนักของซีเรียก็บอกกษัตริย์ซีเรียว่า “พระเจ้าของพวกนั้นเป็นเทพเจ้าแห่งภูเขา พวกเขาจึงเอาชนะเราได้ แต่ถ้าเราสู้กับพวกนั้นบนพื้นราบ เราจะเอาชนะได้แน่ 24 และขอให้ท่านส่งพวกผู้ว่าราชการออกไปนำทัพแทนพวกกษัตริย์+ 25 แล้วรวบรวมกองทัพให้ใหญ่เท่ากับกองทัพที่พ่ายแพ้ไป ให้มีม้าและรถศึกเท่ากับครั้งก่อน แล้วไปสู้กับพวกเขาบนพื้นราบ ทีนี้เราจะเอาชนะพวกเขาได้แน่” เขาก็ทำตามคำแนะนำของคนเหล่านั้น
26 ต้นปีถัดมา* เบนฮาดัดก็รวบรวมกองทัพซีเรียและยกทัพไปเมืองอาเฟค+เพื่อรบกับพวกอิสราเอล 27 ส่วนอิสราเอลก็รวบรวมทหารและเสบียงด้วย แล้วก็ออกไปสู้กับพวกเขา เมื่อชาวอิสราเอลตั้งค่ายตรงหน้ากองทัพซีเรีย พวกเขาดูเหมือนแพะฝูงเล็ก ๆ 2 ฝูง แต่พวกซีเรียมีมากมายจนเต็มบริเวณนั้น+ 28 ผู้พยากรณ์ก็มาหากษัตริย์อิสราเอลและพูดว่า “พระยะโฮวาบอกว่า ‘เพราะพวกซีเรียพูดกันว่าพระยะโฮวาเป็นเทพเจ้าแห่งภูเขา ไม่ใช่เทพเจ้าแห่งพื้นราบ เราจะทำให้เจ้าชนะกองทัพใหญ่นี้+ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือยะโฮวา’”+
29 พวกเขาตั้งค่ายประจันหน้ากัน 7 วัน แล้วในวันที่เจ็ดก็เริ่มสู้รบกัน พวกอิสราเอลฆ่าทหารราบซีเรีย 100,000 คนในวันเดียว 30 ส่วนที่เหลือหนีเข้าไปในเมืองอาเฟค+ แต่กำแพงเมืองถล่มลงมาทับพวกเขาตาย 27,000 คน เบนฮาดัดก็หนีเข้าไปในเมืองด้วยและซ่อนอยู่ในห้องของบ้านหลังหนึ่ง
31 คนรับใช้จึงบอกเขาว่า “เรารู้มาว่าพวกกษัตริย์ของอิสราเอลมีใจเมตตา* ให้พวกเรานุ่งผ้ากระสอบ เอาเชือกคาดหัว และออกไปหากษัตริย์อิสราเอล เขาอาจจะไว้ชีวิตท่านก็ได้”+ 32 พวกเขาจึงนุ่งผ้ากระสอบ เอาเชือกคาดหัว แล้วไปหากษัตริย์อิสราเอลบอกว่า “เบนฮาดัดคนรับใช้ของท่านขอร้องว่า ‘โปรดไว้ชีวิตผมด้วย’” อาหับบอกว่า “เขายังมีชีวิตอยู่หรือ? เราก็เป็นเหมือนพี่น้องกัน” 33 พวกเขาเห็นว่าเป็นสัญญาณที่ดีและเชื่อว่าอาหับพูดจริง จึงบอกว่า “เบนฮาดัดเป็นเหมือนพี่น้องของท่านจริง ๆ” อาหับก็บอกว่า “ไปตามเขามา” เบนฮาดัดจึงออกไปหาอาหับ อาหับก็เชิญเบนฮาดัดขึ้นรถศึกไปด้วยกัน
34 เบนฮาดัดบอกอาหับว่า “เมืองต่าง ๆ ที่พ่อของเรายึดมาจากพ่อของท่าน เราจะคืนให้ และท่านจะตั้งแหล่งค้าขายในกรุงดามัสกัสเหมือนที่พ่อของเราเคยทำในกรุงสะมาเรียก็ได้”
อาหับตอบว่า “ถ้าเราตกลง*กันอย่างนี้ เราจะปล่อยท่านไป”
อาหับจึงทำข้อตกลงกับเบนฮาดัดและปล่อยเขาไป
35 ผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นลูกหลานของพวกผู้พยากรณ์*+พูดกับเพื่อนตามคำสั่งของพระยะโฮวาว่า “ช่วยทุบตีผมหน่อย” แต่คนนั้นไม่ยอม 36 เขาจึงบอกคนนั้นว่า “เพราะคุณไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของพระยะโฮวา เมื่อคุณออกไปจะมีสิงโตมาฆ่าคุณ” พอเขาออกไป ก็มีสิงโตมาฆ่าเขา
37 เขาเจออีกคนหนึ่งและบอกว่า “ช่วยทุบตีผมหน่อย” คนนั้นก็ทุบตีเขาจนบาดเจ็บ
38 ผู้พยากรณ์คนนั้นไปรอกษัตริย์อยู่ริมถนน เอาผ้าพันแผลปิดตาเพื่อไม่ให้ใครจำได้ 39 พอกษัตริย์ผ่านมา เขาก็ร้องบอกกษัตริย์ว่า “ตอนที่ผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่านอยู่กลางสนามรบ มีคนพาผู้ชายคนหนึ่งมาหาผมและบอกว่า ‘เฝ้าเขาไว้ ถ้าเขาหนีไปได้คุณต้องตายแทนเขา+หรือไม่ก็ต้องชดใช้ด้วยเงินหนัก 1 ตะลันต์’* 40 ตอนที่ผมยุ่งอยู่นั้น ผู้ชายคนนั้นก็หนีไป” กษัตริย์อิสราเอลบอกเขาว่า “คุณต้องรับโทษตามนั้นแหละ ก็คุณตัดสินลงโทษตัวเองแล้วนี่” 41 แล้วเขาก็แก้ผ้าพันแผลที่ปิดตาออก กษัตริย์อิสราเอลก็จำได้ว่าเขาเป็นผู้พยากรณ์คนหนึ่ง+ 42 ผู้พยากรณ์บอกเขาว่า “พระยะโฮวาพูดว่า ‘เพราะเจ้าไว้ชีวิตคนที่เราสั่งให้ฆ่า+ เจ้าจะต้องตายแทนเขา+ และประชาชนของเจ้าจะต้องตายแทนประชาชนของเขา’”+ 43 กษัตริย์อิสราเอลก็กลับไปที่วังของเขาในสะมาเรีย+ด้วยความเศร้าหมองและทุกข์ใจ
21 ต่อมา มีเหตุการณ์เกี่ยวกับสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล สวนนี้อยู่ในเมืองยิสเรเอล+ติดกับวังของอาหับกษัตริย์สะมาเรีย 2 อาหับพูดกับนาโบทว่า “ยกสวนองุ่นของคุณให้เราเถอะ เราจะเอาไปทำสวนผักเพราะอยู่ใกล้วังของเรา แล้วเราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่านี้กับคุณ หรือถ้าคุณอยากได้เป็นเงิน เราก็จะจ่ายให้สมราคา” 3 แต่นาโบทตอบอาหับว่า “ผมไม่มีวันยกมรดกของบรรพบุรุษให้ท่านแน่ ๆ เพราะพระยะโฮวาไม่ให้ทำอย่างนั้น”+ 4 อาหับจึงกลับวังไป เขาเศร้าหมองและทุกข์ใจเพราะนาโบทชาวยิสเรเอลตอบเขาว่า “ผมจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษให้ท่าน” แล้วอาหับก็ไปนอนบนเตียง หันหน้าเข้าผนัง และไม่ยอมกินอาหาร
5 เยเซเบล+ภรรยาของเขาก็เข้ามาถามว่า “ทำไมท่านเศร้าจนไม่ยอมกินอาหารอย่างนี้?” 6 เขาตอบเธอว่า “เราไปขอซื้อสวนองุ่นจากนาโบทชาวยิสเรเอล เราบอกเขาว่าถ้าเขาพอใจ เราจะเอาสวนองุ่นที่ดีกว่าไปแลก แต่เขาบอกว่า ‘ผมจะไม่ยกสวนของผมให้ท่าน’” 7 เยเซเบลภรรยาของเขาจึงบอกว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลไม่ใช่หรือ? ลุกขึ้นมากินอะไรหน่อยเถอะ อย่าเศร้าไปเลย ฉันจะเอาสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลมาให้ท่านเอง”+ 8 เยเซเบลก็เขียนจดหมายในนามของอาหับ ผนึกด้วยตราประทับของเขา+ แล้วส่งไปให้พวกผู้นำ*+และเจ้านายในเมืองที่นาโบทอยู่นั้น 9 ในจดหมายเยเซเบลเขียนว่า “ประกาศออกไปให้ประชาชนอดอาหาร แล้วให้นาโบทมานั่งต่อหน้าทุกคน 10 ให้คนเลว 2 คนมานั่งข้างหน้าเขาและให้การปรักปรำเขา+ว่า ‘แกแช่งด่าพระเจ้าและกษัตริย์!’+ แล้วพาตัวนาโบทออกไปเอาหินขว้างให้ตาย”+
11 พวกผู้นำและเจ้านายในเมืองของนาโบทก็ทำตามที่เยเซเบลสั่งในจดหมาย 12 พวกเขาสั่งให้ประชาชนอดอาหารและให้นาโบทนั่งต่อหน้าทุกคน 13 แล้วคนเลว 2 คนก็มานั่งข้างหน้าเขา และกล่าวหาปรักปรำเขาต่อหน้าประชาชนว่า ‘นาโบทแช่งด่าพระเจ้าและกษัตริย์!’+ หลังจากนั้น พวกเขาก็พานาโบทออกไปนอกเมืองและเอาหินขว้างเขาจนตาย+ 14 แล้วพวกเขาก็ส่งข่าวไปหาเยเซเบลว่า “นาโบทถูกหินขว้างตายแล้ว”+
15 พอเยเซเบลได้ยินว่านาโบทถูกหินขว้างตายแล้ว เธอก็บอกอาหับว่า “สวนองุ่นที่นาโบทชาวยิสเรเอล+ไม่ยอมขายให้ท่านนั้น ท่านไปยึดเอาได้เลย เพราะนาโบทตายแล้ว” 16 พออาหับได้ยินว่านาโบทตายแล้ว เขาก็รีบไปที่สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลแล้วยึดมาเป็นของตัวเอง
17 แต่พระยะโฮวาบอกเอลียาห์+ชาวทิชบีว่า 18 “ไปหาอาหับกษัตริย์อิสราเอลที่ปกครองสะมาเรีย+ เขาอยู่ที่สวนองุ่นของนาโบทเพื่อจะยึดเอาเป็นของตัวเอง 19 เจ้าต้องบอกเขาว่า ‘พระยะโฮวาพูดว่า “เจ้าฆ่าคน+แล้วยังยึดเอาที่ดิน*ของเขาด้วยหรือ?”’+ แล้วบอกเขาว่า ‘พระยะโฮวาพูดว่า “หมาเลียเลือดของนาโบทที่ไหน มันก็จะเลียเลือดของเจ้าที่นั่นด้วย”’”+
20 อาหับบอกเอลียาห์ว่า “ศัตรูของเรา หาเราเจอจนได้นะ”+ เขาตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าบอกว่า ‘เพราะเจ้ามุ่งมั่นตั้งใจ*จะทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่ว+ 21 เราจะทำให้เจ้าเจอหายนะ และเราจะทำลายเจ้าและกำจัดผู้ชาย*ทุกคน+ในตระกูลของอาหับแม้จะเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุดในอิสราเอล+ 22 เราจะทำให้ราชวงศ์ของเจ้าเป็นเหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัม+ลูกเนบัทและเหมือนราชวงศ์ของบาอาชา+ลูกอาหิยาห์ เพราะเจ้าทำให้เราโกรธมากและเป็นต้นเหตุให้ชาวอิสราเอลทำผิด’ 23 พระยะโฮวายังพูดถึงเยเซเบลด้วยว่า ‘เยเซเบลจะถูกหมากินในที่ดินผืนหนึ่งในเมืองยิสเรเอล+ 24 คนในตระกูลอาหับที่ตายในเมืองจะถูกหมากิน และคนที่ตายในทุ่งจะถูกนกกิน+ 25 ไม่เคยมีใครเหมือนอาหับ+ที่มุ่งมั่นตั้งใจ*จะทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่วมากขนาดนี้ แถมยังมีเยเซเบลภรรยาของเขาคอยยุยงด้วย+ 26 เขาทำสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดโดยนมัสการรูปเคารพที่น่าขยะแขยง* เหมือนชาวอาโมไรต์ซึ่งพระยะโฮวาไล่ออกไปให้พ้นจากชาวอิสราเอล’”+
27 พออาหับได้ยินอย่างนี้ เขาก็ฉีกเสื้อด้วยความเสียใจ ใส่ผ้ากระสอบ อดอาหาร นอนในชุดกระสอบ และเดินอย่างเศร้าสร้อย 28 แล้วพระยะโฮวาก็พูดกับเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 29 “เจ้าเห็นไหมว่าพอเราพูดกับอาหับแล้วเขาก็ถ่อมตัวลง?+ เพราะเราเห็นว่าเขาถ่อมตัวลง เราจะไม่ทำให้เกิดหายนะตอนเขายังมีชีวิตอยู่ แต่จะทำให้ราชวงศ์ของเขาเจอหายนะในสมัยลูกของเขา”+
22 ซีเรียกับอิสราเอลไม่ได้ทำสงครามกันอยู่ 3 ปี 2 ในปีที่สาม กษัตริย์เยโฮชาฟัท+แห่งยูดาห์ไปหากษัตริย์อิสราเอล+ 3 กษัตริย์อิสราเอลพูดกับข้าราชสำนักว่า “พวกคุณรู้ไหมว่าเมืองราโมทกิเลอาด+เป็นของเรา? แต่เรายังไม่ได้ยึดคืนมาจากกษัตริย์ซีเรีย” 4 กษัตริย์อิสราเอลจึงพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะไปสู้ที่เมืองราโมทกิเลอาดกับเราไหม?” เยโฮชาฟัทตอบกษัตริย์อิสราเอลว่า “เรากับท่านเป็นพวกเดียวกัน ประชาชนของเราก็เหมือนประชาชนของท่าน ม้าศึกของเราก็เหมือนม้าศึกของท่าน”+
5 แต่เยโฮชาฟัทพูดกับกษัตริย์อิสราเอลว่า “ขอให้เราถามพระยะโฮวาก่อนเถอะ”+ 6 กษัตริย์อิสราเอลจึงเรียกพวกผู้พยากรณ์มาประมาณ 400 คน และถามพวกเขาว่า “เราควรไปสู้กับราโมทกิเลอาดไหม?” พวกเขาตอบว่า “ไปเถอะครับ แล้วพระยะโฮวาจะมอบเมืองนั้นให้กษัตริย์”
7 เยโฮชาฟัทก็ถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาเลยหรือ? ขอให้เราถามพระเจ้าผ่านทางเขาด้วย”+ 8 กษัตริย์อิสราเอลจึงบอกเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอีกคนหนึ่งที่เราจะถามพระยะโฮวาผ่านทางเขาได้+ แต่เราเกลียดเขา+ เพราะเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดี ๆ เกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้าย ๆ ทั้งนั้น+ เขาชื่อมีคายาห์ลูกอิมลาห์” แต่เยโฮชาฟัทบอกว่า “ขอกษัตริย์อย่าพูดอย่างนั้นเลย”
9 กษัตริย์อิสราเอลจึงสั่งข้าราชสำนักคนหนึ่งว่า “รีบไปพาตัวมีคายาห์ลูกอิมลาห์มาที่นี่”+ 10 กษัตริย์อิสราเอลกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ใส่ชุดเต็มยศนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตัวเองที่ลานนวดข้าวตรงประตูเมืองสะมาเรีย และพวกผู้พยากรณ์กำลังพยากรณ์ต่อหน้ากษัตริย์+ 11 ตอนนั้นเศเดคียาห์ลูกเคนาอะนาห์เอาเหล็กมาทำเป็นรูปเขาสัตว์และบอกว่า “พระยะโฮวาบอกว่าท่านจะขวิด*พวกซีเรียด้วยเขาสัตว์นี้จนพวกเขาพินาศย่อยยับ” 12 ผู้พยากรณ์คนอื่น ๆ ก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “ไปสู้กับเมืองราโมทกิเลอาดเลย แล้วท่านจะชนะ พระยะโฮวาจะมอบเมืองนั้นให้กษัตริย์”
13 คนที่กษัตริย์ใช้ให้ไปเรียกมีคายาห์บอกมีคายาห์ว่า “ผู้พยากรณ์ทุกคนพูดแต่เรื่องดี ๆ กับกษัตริย์ ขอให้ท่านพูดเรื่องดี ๆ เหมือนพวกเขาด้วย”+ 14 แต่มีคายาห์บอกว่า “ผมสาบานต่อพระยะโฮวาผู้มีชีวิตอยู่ว่า ผมจะพูดแต่เรื่องที่พระยะโฮวาสั่งให้พูดเท่านั้น” 15 แล้วเขาก็เข้าไปหากษัตริย์ กษัตริย์ถามว่า “มีคายาห์ เราควรไปสู้กับราโมทกิเลอาดไหม?” เขาตอบทันทีว่า “ไปเถอะครับ แล้วท่านจะชนะ พระยะโฮวาจะมอบเมืองนั้นให้กษัตริย์” 16 กษัตริย์พูดกับเขาว่า “เราต้องให้คุณสาบานสักกี่ครั้งว่าคุณจะพูดความจริงกับเราและพูดตามที่พระยะโฮวาสั่ง*เท่านั้น?” 17 เขาจึงบอกว่า “ผมเห็นชาวอิสราเอลกระจัดกระจายอยู่ตามภูเขา+เหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง พระยะโฮวาบอกว่า ‘พวกเขาไม่มีผู้นำ ให้แต่ละคนกลับไปบ้านของตัวเองเถอะ’”
18 กษัตริย์อิสราเอลจึงบอกเยโฮชาฟัทว่า “เห็นไหมล่ะ เราบอกท่านแล้วว่าเขาจะไม่พยากรณ์เรื่องดี ๆ เกี่ยวกับเรา มีแต่เรื่องร้าย ๆ ทั้งนั้น”+
19 มีคายาห์จึงบอกว่า “ขอท่านฟังข่าวจากพระยะโฮวา ผมเห็นพระยะโฮวานั่งบนบัลลังก์+ กองทัพทูตสวรรค์ยืนอยู่กับพระองค์ทั้งข้างขวาและข้างซ้าย+ 20 พระยะโฮวาถามว่า ‘ใครจะหลอกให้อาหับไปตายที่เมืองราโมทกิเลอาด?’ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดอย่างนี้ อีกองค์หนึ่งก็พูดอย่างนั้น 21 แล้วมีทูตสวรรค์+องค์หนึ่งออกมายืนต่อหน้าพระยะโฮวาและพูดว่า ‘ผมจะหลอกเขาเอง’ พระยะโฮวาถามว่า ‘เจ้าจะทำอย่างไร?’ 22 ทูตสวรรค์ตอบว่า ‘ผมจะไปดลใจให้ผู้พยากรณ์ของเขาทุกคนพูดโกหก’+ พระองค์จึงบอกว่า ‘เจ้าจะหลอกเขาได้สำเร็จแน่ ไปทำตามที่เจ้าว่าเถอะ’ 23 แล้วพระยะโฮวาก็ดลใจให้ผู้พยากรณ์ของท่านทุกคนโกหก+ แต่พระยะโฮวาบอกไว้ว่าท่านจะต้องเจอหายนะ”+
24 เศเดคียาห์ลูกเคนาอะนาห์เข้ามาตบหน้ามีคายาห์และพูดว่า “คุณบอกว่าพลังของพระยะโฮวาออกจากผมแล้วไปพูดกับคุณหรือ?”+ 25 มีคายาห์ตอบว่า “คุณจะรู้เองเมื่อถึงวันที่คุณต้องเข้าไปซ่อนในห้องชั้นใน” 26 กษัตริย์อิสราเอลจึงบอกว่า “เอาตัวมีคายาห์ไปให้อาโมนที่เป็นเจ้าเมืองและโยอาชลูกของกษัตริย์ 27 บอกพวกเขาว่า ‘กษัตริย์สั่งว่า “ขังคนนี้ไว้ในคุก+ แล้วเอาขนมปังกับน้ำให้กินแค่นิดหน่อยจนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย”’” 28 แต่มีคายาห์บอกว่า “ถ้าท่านกลับมาอย่างปลอดภัยก็แสดงว่าพระยะโฮวาไม่ได้พูดกับผม”+ แล้วเขาก็พูดอีกว่า “ทุกคนจำคำพูดของผมไว้ให้ดี!”
29 กษัตริย์อิสราเอลกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์จึงขึ้นไปสู้กับเมืองราโมทกิเลอาด+ 30 กษัตริย์อิสราเอลบอกเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัว+ออกไปรบ ส่วนท่านก็ใส่ชุดกษัตริย์เถอะ” กษัตริย์อิสราเอลจึงปลอมตัวแล้วออกไปรบ 31 กษัตริย์ซีเรียสั่งผู้บัญชาการรถศึก 32 คน+ว่า “ไม่ต้องสู้กับใครทั้งนั้นไม่ว่าจะตำแหน่งสูงหรือต่ำ แต่ให้สู้กับกษัตริย์อิสราเอลคนเดียว” 32 พอพวกผู้บัญชาการรถศึกเห็นเยโฮชาฟัทก็คิดว่า “นั่นต้องเป็นกษัตริย์อิสราเอลแน่ ๆ” พวกเขาจึงเข้าไปสู้กับเยโฮชาฟัทจนเขาร้องขอความช่วยเหลือ 33 เมื่อพวกผู้บัญชาการรถศึกเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล พวกเขาก็เลิกไล่ตามเยโฮชาฟัททันที
34 แต่ทหารคนหนึ่งยิงธนูมาโดนกษัตริย์อิสราเอลตรงรอยต่อของเสื้อเกราะโดยไม่ตั้งใจ กษัตริย์อาหับจึงบอกคนขับรถม้าว่า “พาเราออกไปจากที่นี่ เราได้รับบาดเจ็บสาหัส”+ 35 พวกเขารบกันทั้งวัน และต้องมีคนพยุงกษัตริย์ไว้ในรถม้าให้หันหน้าไปทางพวกซีเรีย เลือดของกษัตริย์ไหลนองในรถม้านั้น อาหับสิ้นใจในตอนเย็น+ 36 พอดวงอาทิตย์ตกก็มีคนประกาศทั่วค่ายว่า “ให้ทุกคนกลับไปบ้านเมืองของตัวเอง!”+ 37 กษัตริย์ก็ตาย และพวกเขาเอาศพกลับไปฝังที่สะมาเรีย 38 ตอนที่พวกเขาล้างรถม้าอยู่ที่สระน้ำในกรุงสะมาเรีย มีหมามาเลียเลือดของกษัตริย์และมีพวกโสเภณีมาอาบน้ำที่นั่น* เหมือนที่พระยะโฮวาบอกไว้+
39 เรื่องราวที่เหลือของอาหับ ทุกอย่างที่เขาทำรวมทั้งวังที่ตกแต่งด้วยงาช้าง+และเมืองต่าง ๆ ที่เขาสร้าง ก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์อิสราเอลแล้ว 40 อาหับก็ตายไปตามปู่ย่าตายาย+ แล้วอาหัสยาห์+ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
41 เยโฮชาฟัท+ลูกอาสาปกครองเป็นกษัตริย์ยูดาห์ตั้งแต่ปีที่ 4 ที่กษัตริย์อาหับปกครองอิสราเอล 42 ตอนที่เริ่มเป็นกษัตริย์ เยโฮชาฟัทอายุได้ 35 ปี และเขาปกครองที่กรุงเยรูซาเล็ม 25 ปี แม่ของเขาชื่ออาซูบาห์เป็นลูกสาวของซีลฮี 43 เขาทำตามอาสา+พ่อของเขาทุกอย่าง ไม่ออกนอกลู่นอกทางเลย เขาทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าถูกต้อง+ แต่เขาไม่ได้ทำลายสถานบูชาบนที่สูง และประชาชนยังเผาเครื่องบูชาบนที่สูงเหล่านั้น+ 44 เยโฮชาฟัทยังคงเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์อิสราเอลต่อไป+ 45 เรื่องราวที่เหลือของเยโฮชาฟัท ทั้งเรื่องสงครามและความเก่งกล้าของเขาก็เขียนไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ยูดาห์แล้ว 46 เขายังกำจัดโสเภณีชายประจำวิหาร+ที่เหลือมาจากสมัยของอาสาพ่อของเขาจนหมดไปจากแผ่นดินด้วย+
47 ช่วงนั้นประเทศเอโดม+ไม่มีกษัตริย์ปกครอง มีแต่ผู้ทำหน้าที่แทนกษัตริย์+
48 เยโฮชาฟัทยังได้สร้างกองเรือทาร์ชิชเพื่อไปขนทองคำมาจากโอฟีร์+ แต่ไม่ได้ออกเดินทางเพราะเรือเหล่านั้นจมลงที่เอซีโอนเกเบอร์+ 49 ตอนนั้นอาหัสยาห์ลูกอาหับบอกเยโฮชาฟัทว่า “ให้คนรับใช้ของเราไปกับคนรับใช้ของท่านในกองเรือนั้นด้วยดีไหม?” แต่เยโฮชาฟัทไม่ยอม
50 เยโฮชาฟัทก็ตายไปตามปู่ย่าตายาย+และถูกฝังไว้กับปู่ย่าตายายที่เมืองของดาวิดบรรพบุรุษของเขา แล้วเยโฮรัม+ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
51 ในปีที่ 17 ที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทปกครองยูดาห์ อาหัสยาห์+ลูกอาหับขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล เขาปกครองที่กรุงสะมาเรีย 2 ปี 52 เขาทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าชั่วและทำตามพ่อ+แม่+ของเขา และทำตามเยโรโบอัมลูกเนบัทที่เป็นต้นเหตุให้อิสราเอลทำผิด+ 53 เขานมัสการและกราบไหว้พระบาอัล+ และทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลโกรธมาก+เหมือนที่พ่อของเขาทำ
หรือ “ทำร้ายจิตใจเขา” “ด่าว่าเขา”
หรือ “ล่อตัวเมีย”
ดูคำว่า “หลุมศพ” ในส่วนอธิบายศัพท์
หรือ “แสดงความรักที่มั่นคง”
แปลตรงตัวว่า “พวกลูกชาย”
แปลตรงตัวว่า “ยิ่งใหญ่”
หรือ “ยังเป็นเด็ก”
หรืออาจแปลได้ว่า “ที่ดูแลยาก” แปลตรงตัวว่า “หนัก”
คือ แม่น้ำยูเฟรติส
6,600 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
13,200 ลิตร
มีกวาง 3 ชนิด
คือ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส
จำนวนนี้อยู่ในสำเนาพระคัมภีร์บางฉบับและอยู่ในบันทึกเรื่องเดียวกันอีกที่หนึ่งของพระคัมภีร์ด้วย แต่สำเนาพระคัมภีร์ฉบับอื่น ๆ บอกว่ามี 40,000 คอก
หรือ “ทหารม้า 12,000 คน”
หรือ “กล่าว”
หรือ “รักดาวิด”
4.4 ล้านลิตร ดูภาคผนวก ข14
4,400 ลิตร
หรือ “คนงานแบกหาม”
ดูภาคผนวก ข8
1 ศอกเท่ากับ 44.5 ซม. ดูภาคผนวก ข14
ในที่นี้หมายถึงห้องบริสุทธิ์
แปลตรงตัวว่า “ขวา”
คือ ในวิหาร
คือ ห้องบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านหน้าของห้องบริสุทธิ์ที่สุด
แปลตรงตัวว่า “ไม้ที่มีน้ำมัน” อาจเป็นไม้สนอะเลปโป
คือ ห้องบริสุทธิ์ที่สุด
แปลตรงตัวว่า “ข้างในและข้างนอก”
หรืออาจแปลได้ว่า “เศษหนึ่งส่วนห้า” ซึ่งอาจหมายถึงการทำกรอบประตูหรือหมายถึงขนาดของประตู
ในที่นี้หมายถึงห้องบริสุทธิ์
หรืออาจแปลได้ว่า “เศษหนึ่งส่วนสี่” ซึ่งอาจหมายถึงการทำกรอบประตูหรือหมายถึงขนาดของประตู
1 ศอกเท่ากับ 44.5 ซม. ดูภาคผนวก ข14
อาจเป็นจำนวนของคานขวาง
หรือ “สี่เหลี่ยมผืนผ้า”
หรือ “ระเบียงเสา”
หรือ “ทองสัมฤทธิ์” สำหรับข้อนี้และข้อต่อ ๆ ไปในบทนี้
หรือ “ต้องใช้สายวัดยาว 12 ศอกถึงจะวัดเสาแต่ละต้นได้รอบ”
ในที่นี้หมายถึงห้องบริสุทธิ์
หรือ “ด้านใต้”
แปลว่า “ขอพระองค์ [พระยะโฮวา] ตั้งให้มั่นคง”
หรือ “ด้านเหนือ”
อาจแปลว่า “ด้วยกำลัง”
หรือ “ต้องใช้สายวัดยาว 30 ศอกถึงจะวัดได้รอบ”
7.4 ซม. ดูภาคผนวก ข14
1 บัทเท่ากับ 22 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
หรือ “รถเข็นใส่น้ำ”
หรือ “ทำให้บริสุทธิ์”
คือ เทศกาลอยู่เพิง
แปลตรงตัวว่า “ประชาคมของอิสราเอลทั้งหมด”
แปลตรงตัวว่า “ลูกชายของเจ้าที่จะออกมาจากเอวของเจ้า”
หรือ “และฝ่ายหลังแช่งเขา” คือ ให้เขาสาบานว่าถ้าโกหกหรือไม่ได้ทำตามที่สาบานก็ขอให้เกิดเหตุร้าย
แปลตรงตัวว่า “คำสาปแช่ง”
แปลตรงตัวว่า “ทำชั่ว”
หรือ “ทำให้พวกเขาลำบาก”
หรือ “ไม่ว่าพวกเขาจะขออะไร”
หรือ “ริมเขตแดนฮามัท”
แปลตรงตัวว่า “วันที่แปด” คือ วันถัดจากวันสุดท้ายของช่วงเจ็ดวันรอบที่สอง
แปลตรงตัวว่า “ผิวปากใส่”
หรืออาจแปลได้ว่า “แผ่นดินที่ไร้ประโยชน์”
4,104 กก. ดูภาคผนวก ข14
หรือ “มิลโล” คำภาษาฮีบรูแปลว่า “ถมให้เต็ม”
หรือ “ทำให้มั่นคงแข็งแรง”
หรือ “มิลโล” คำภาษาฮีบรูแปลว่า “ถมให้เต็ม”
14,364 กก.
หรือ “ทายปริศนา”
4,104 กก. ดูภาคผนวก ข14
22,777 กก.
6.84 กก. ดูภาคผนวก ข14
โล่ขนาดเล็กที่พลธนูใช้
1 มินาในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเท่ากับ 570 กรัม ดูภาคผนวก ข14
หรือ “ทหารม้า”
หรือ “ทหารม้า 12,000 คน”
หรืออาจแปลได้ว่า “นำเข้ามาจากอียิปต์และคูเอ พ่อค้าที่ซื้อม้ามาให้กษัตริย์ซื้อม้าเหล่านี้มาจากคูเอ” ซึ่งอาจหมายถึงซิลีเซีย
6.84 กก.
1.71 กก.
หรือ “อย่าแต่งงานกับคนพวกนั้น”
หรือ “ผู้หญิงเหล่านั้นก็มีอิทธิพลกับเขา”
หรือ “หันไป”
ไม่ใช่ราชินีที่ปกครองประเทศ
หรืออาจแปลได้ว่า “ให้เด็กคนนี้หย่านม”
แปลตรงตัวว่า “ถูกดาวิดฆ่า”
แปลตรงตัวว่า “ยกมือ”
หรือ “มิลโล” คำภาษาฮีบรูแปลว่า “ถมให้เต็ม”
แปลตรงตัวว่า “มีตะเกียง”
แปลตรงตัวว่า “ประชาคมของอิสราเอลทั้งหมด”
หรือ “ผู้นำ”
หรือ “ผู้นำ”
แปลตรงตัวว่า “นิ้วก้อยเราจะใหญ่กว่าสะโพกของพ่อเราอีก”
หรือ “ผู้นำ”
แปลตรงตัวว่า “เต็นท์”
แปลตรงตัวว่า “ที่คัดเลือกแล้ว”
แปลตรงตัวว่า “คนของพระเจ้าเที่ยงแท้”
หรือ “ทำให้มั่นคงแข็งแรง”
หรือ “ทำให้มั่นคงแข็งแรง”
หรือ “ขี้เถ้าที่ชุ่มด้วยมัน” คือ ขี้เถ้าที่ชุ่มด้วยมันของสัตว์ที่ถวายเป็นเครื่องบูชา
หรือ “เป็นอัมพาต”
แปลตรงตัวว่า “คนที่ปัสสาวะรดกำแพง” เป็นสำนวนภาษาฮีบรูหมายถึงผู้ชาย ใช้ในเชิงดูถูก
คือ แม่น้ำยูเฟรติส
มีอีกชื่อหนึ่งว่าอาบียาห์
คือ ลูกสาวของลูกสาว
ดูเหมือนเป็นอีกชื่อหนึ่งของอับซาโลม
แปลตรงตัวว่า “ให้เขามีตะเกียง”
คือ ลูกของลูกสาว
คำนี้ในภาษาฮีบรูอาจเกี่ยวข้องกับคำว่า “มูลสัตว์” และใช้ในเชิงดูถูก
แปลตรงตัวว่า “ทำให้บริสุทธิ์”
หรือ “ทำให้มั่นคงแข็งแรง” “สร้างใหม่”
หรือ “ทำให้มั่นคงแข็งแรง” “สร้างใหม่”
หรือ “ทำให้มั่นคงแข็งแรง” “สร้างใหม่”
หรือ “ทำให้มั่นคงแข็งแรง” “สร้างใหม่”
แปลตรงตัวว่า “คนที่ปัสสาวะรดกำแพง” เป็นสำนวนภาษาฮีบรูหมายถึงผู้ชาย ใช้ในเชิงดูถูก
หรือ “คนที่มีสิทธิ์แก้แค้น”
68.4 กก. ดูภาคผนวก ข14
แปลว่า “เป็นของพวกเชเมอร์”
แปลว่า “พระเจ้าของผมคือพระยะโฮวา”
หรืออาจแปลได้ว่า “อาจจะกำลังเดินทาง”
หรือ “ทำเหมือนผู้พยากรณ์”
14.66 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
หรือ “เขาคาดเอว”
แปลว่า “พระเจ้าเป็นความรอด”
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
คือ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
คือ ในฤดูใบไม้ผลิ
หรือ “เป็นกษัตริย์ที่มีความรักที่มั่นคง”
หรือ “ทำสัญญา”
“ลูกหลานของพวกผู้พยากรณ์” อาจหมายถึงโรงเรียนสอนผู้พยากรณ์หรือสมาคมของพวกผู้พยากรณ์
34.2 กก. ดูภาคผนวก ข14
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
แปลตรงตัวว่า “ยึดทรัพย์สิน”
แปลตรงตัวว่า “ขายตัวเพื่อ”
แปลตรงตัวว่า “คนที่ปัสสาวะรดกำแพง” เป็นสำนวนภาษาฮีบรูหมายถึงผู้ชาย ใช้ในเชิงดูถูก
แปลตรงตัวว่า “ขายตัวเพื่อ”
คำนี้ในภาษาฮีบรูอาจเกี่ยวข้องกับคำว่า “มูลสัตว์” และใช้ในเชิงดูถูก
หรือ “ผลักดัน”
แปลตรงตัวว่า “พูดในนามของพระยะโฮวา”
หรืออาจแปลได้ว่า “ตรงที่ที่พวกโสเภณีมาอาบน้ำ หมามาเลียเลือดของเขา”