บทความศึกษา 11
เพลง 57 ประกาศกับคนทุกชนิด
เลียนแบบความกระตือรือร้นของพระเยซูในการประกาศ
“พระเยซูเลือกสาวกอีก 70 คน แล้วส่งออกไปเป็นคู่ ๆ ให้พวกเขาล่วงหน้าไปตามเมืองและที่ต่าง ๆ ที่ท่านกำลังจะไป”—ลก. 10:1
จุดสำคัญ
ดู 4 อย่างที่คุณสามารถเลียนแบบพระเยซูได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณกระตือรือร้นในงานประกาศ
1. อะไรทำให้ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาต่างจากคริสเตียนทั่วไปในโลก?
อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาต่างจากคริสเตียนทั่วไปในโลกก็คือความกระตือรือร้นในงานประกาศ (ทต. 2:14) แต่คุณก็เคยรู้สึกไม่ค่อยอยากไปประกาศใช่ไหม? คุณอาจรู้สึกเหมือนผู้ดูแลคนหนึ่งที่ขยันมาก แต่ก็ยอมรับว่า “บางครั้งผมก็ไม่ค่อยอยากไปประกาศเลย”
2. อะไรอาจทำให้ยากที่เราจะรักษาความกระตือรือร้นในงานประกาศ?
2 บางครั้งเราอาจตื่นเต้นกับการทำงานรับใช้ในรูปแบบอื่นมากกว่าการไปประกาศ เพราะอะไร? เพราะตอนที่เราก่อสร้างและบำรุงรักษาอาคารขององค์การ ช่วยงานบรรเทาทุกข์ หรือให้กำลังใจพี่น้อง เราอาจเห็นผลทันทีหรือรู้สึกว่าทำงานได้สำเร็จ เราชอบทำงานร่วมกับพี่น้องเพราะเราสัมผัสได้ถึงความรักและสันติสุข และเรารู้ด้วยว่าพี่น้องเห็นค่างานที่เราทำ แต่ในทางกลับกัน เราอาจประกาศเขตเดิมมาหลายปีแล้ว แต่ก็แทบไม่มีใครสนใจหรืออาจเจอคนที่ไม่ฟังด้วยซ้ำ และเรารู้ด้วยว่ายิ่งจุดจบของโลกชั่วนี้ใกล้มาถึง คนก็จะยิ่งไม่อยากฟังสิ่งที่เราประกาศ (มธ. 10:22) แล้วอะไรจะช่วยให้เรายังคงรักษาความกระตือรือร้นในการประกาศหรือทำให้ตัวเองยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นได้?
3. ตัวอย่างเปรียบเทียบในลูกา 13:6-9 ช่วยให้เราเห็นอะไรเกี่ยวกับความกระตือรือร้นของพระเยซู?
3 เราจะกระตือรือร้นในงานประกาศมากขึ้นได้โดยเรียนจากตัวอย่างของพระเยซู ตอนที่ท่านทำงานรับใช้บนโลก ท่านไม่เคยหมดความกระตือรือร้นเลย ที่จริง ยิ่งเวลาผ่านไปท่านก็ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้น (อ่านลูกา 13:6-9) ในตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซู คนดูแลสวนองุ่นรอเวลา 3 ปีให้ต้นมะเดื่อออกผล แต่เขาก็ไม่เคยเห็นผลของมันเลย คล้ายกันพระเยซูก็ใช้เวลา 3 ปีประกาศกับชาวยิว แต่ก็มีคนน้อยมากที่เข้ามาเป็นสาวกของท่าน ถึงอย่างนั้น เหมือนกับคนดูแลสวนองุ่นที่ไม่ได้หมดหวังกับต้นมะเดื่อต้นนั้น พระเยซูก็ไม่ได้หมดหวังในตัวผู้คนหรือกระตือรือร้นน้อยลงในการทำงานรับใช้ ท่านกลับยิ่งพยายามมากขึ้นที่จะเข้าถึงหัวใจของผู้คน
4. มี 4 อย่างอะไรที่เราจะได้เรียนจากพระเยซู?
4 ในบทความนี้เราจะมาดูว่าพระเยซูแสดงความกระตือรือร้นยังไงโดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนสุดท้ายที่ท่านทำงานรับใช้บนโลก (ดูคำว่า “ต่อมา” ในข้อมูลสำหรับศึกษาที่ลูกา 10:1) การที่เราได้เรียนสิ่งที่ท่านสอนและเลียนแบบท่านจะช่วยให้เรารักษาความกระตือรือร้นอยู่เสมอได้ในทุกวันนี้ ให้เรามาดู 4 อย่างที่พระเยซูทำคือ (1) ท่านให้ความประสงค์ของพระยะโฮวามาเป็นอันดับแรกในชีวิตเสมอ (2) ท่านเข้าใจคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลและทำสิ่งที่สอดคล้องกับคำพยากรณ์เหล่านั้น (3) ท่านพึ่งความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา และ (4) ท่านคิดในแง่บวกเสมอว่าจะมีบางคนที่ฟังท่าน
พระเยซูให้ความประสงค์ของพระยะโฮวามาเป็นอันดับแรกในชีวิตเสมอ
5. พระเยซูแสดงให้เห็นยังไงว่าท่านให้ความประสงค์ของพระยะโฮวามาเป็นอันดับแรกในชีวิตเสมอ?
5 พระเยซูประกาศ “ข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” อย่างกระตือรือร้นเพราะรู้ว่านี่เป็นงานที่พระยะโฮวาอยากให้ท่านทำ (ลก. 4:43) พระเยซูให้งานรับใช้มาเป็นอันดับแรกในชีวิต และแม้แต่ในช่วงท้ายที่ท่านทำงานรับใช้ ท่านก็ยังเดินทางไป “ตามเมืองและตามหมู่บ้าน” เพื่อสอนคนอื่น (ลก. 13:22) นอกจากนั้น ท่านยังฝึกสาวกคนอื่น ๆ ให้ทำงานประกาศด้วย—ลก. 10:1
6. งานประกาศเกี่ยวข้องกับงานรับใช้อื่น ๆ ยังไง? (ดูภาพด้วย)
6 ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน งานประกาศข่าวดีเป็นงานหลักที่พระยะโฮวาและพระเยซูอยากให้เราทำ (มธ. 24:14; 28:19, 20) และงานรับใช้อื่น ๆ ก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานประกาศ ตัวอย่างเช่น เราสร้างอาคารต่าง ๆ ขององค์การหรือรับใช้ที่เบเธลก็เพื่อสนับสนุนงานประกาศ เราทำงานบรรเทาทุกข์ไม่ใช่แค่เพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องเท่านั้น แต่เพื่อจะช่วยพวกเขาให้กลับมาทำกิจกรรมคริสเตียนได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืองานประกาศ เมื่อเราคิดว่าการประกาศสำคัญขนาดไหนและจำไว้เสมอว่านี่เป็นงานหลักที่พระยะโฮวาอยากให้เราทำ เราก็จะถูกกระตุ้นให้อยากออกไปประกาศเป็นประจำ ผู้ดูแลคนหนึ่งจากฮังการีที่ชื่อยาโนสบอกว่า “ผมพยายามเตือนตัวเองเสมอว่าไม่มีงานมอบหมายอะไรจะมาแทนที่งานประกาศได้ นี่เป็นงานมอบหมายหลักของเรา”
การประกาศข่าวดีเป็นงานหลักที่พระยะโฮวากับพระเยซูอยากให้เราทำในทุกวันนี้ (ดูข้อ 6)
7. ทำไมพระยะโฮวาถึงอยากให้เราประกาศต่อ ๆ ไป? (1 ทิโมธี 2:3, 4)
7 เราจะกระตือรือร้นมากขึ้นในงานประกาศได้โดยการมองผู้คนอย่างที่พระยะโฮวามอง พระองค์อยากให้ผู้คนมากที่สุดได้ฟังข่าวดีและเรียนความจริงเกี่ยวกับพระองค์ (อ่าน 1 ทิโมธี 2:3, 4) เนื่องจากความจริงนี้สามารถช่วยชีวิตคนได้ พระยะโฮวาก็เลยฝึกเราให้ประกาศเก่งขึ้น ตัวอย่างเช่น จุลสารรักผู้คน—สอนพวกเขาให้เป็นสาวก มีคำแนะนำที่ช่วยให้เราเริ่มพูดคุยกับผู้คนโดยมีเป้าหมายที่จะสอนพวกเขาให้เป็นสาวก และถึงแม้พวกเขาอาจยังไม่ตอบรับความจริงในตอนนี้ แต่พวกเขาก็ยังมีโอกาส เพราะสิ่งที่เราพูดในตอนนี้อาจเป็นสิ่งที่พวกเขาจะนึกถึงได้ในอนาคตและตอบรับความจริงก่อนที่ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่จะจบลง แต่เพื่อที่เรื่องนี้จะเป็นไปได้ เราก็ต้องประกาศต่อ ๆ ไป
พระเยซูเข้าใจและทำสิ่งที่สอดคล้องกับ คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล
8. การที่พระเยซูเข้าใจคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลมีผลยังไงกับวิธีที่ท่านใช้เวลาตอนอยู่บนโลก?
8 พระเยซูเข้าใจว่าคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลจะเกิดขึ้นจริงยังไง เช่น ท่านรู้ว่าจะมีเวลารับใช้บนโลกแค่ 3 ปีครึ่ง (ดนล. 9:26, 27) และท่านยังรู้จากคำพยากรณ์ด้วยว่าท่านจะต้องตายยังไงและเมื่อไหร่ (ลก. 18:31-34) การที่พระเยซูเข้าใจคำพยากรณ์เหล่านี้ทำให้ท่านพยายามใช้เวลาตอนที่อยู่บนโลกให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ท่านก็เลยตั้งใจประกาศอย่างกระตือรือร้นเพื่อจะทำงานมอบหมายให้สำเร็จ
9. ทำไมคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลถึงกระตุ้นให้เราประกาศอย่างกระตือรือร้น?
9 การที่เราเข้าใจคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลสามารถกระตุ้นให้เราประกาศอย่างกระตือรือร้น เช่น เรารู้ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้รวมทั้งนิสัยของผู้คนทำให้เห็นเลยว่าเราอยู่ในช่วงปลายของสมัยสุดท้ายแล้วจริง ๆ และเรายังรู้ด้วยว่าการต่อสู้กันระหว่างมหาอำนาจโลกอังกฤษ-อเมริกากับรัสเซียและชาติพันธมิตรทำให้คำพยากรณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้ที่สู้กัน “ในสมัยสุดท้าย” เกิดขึ้นจริง (ดนล. 11:40) เรายังเข้าใจด้วยว่ามหาอำนาจโลกอังกฤษ-อเมริกาคือส่วนเท้าของรูปปั้นที่พูดถึงในดาเนียล 2:43-45 เรามั่นใจว่ามันใกล้มากแล้วจริง ๆ ที่รัฐบาลของพระเจ้าจะทำลายรัฐบาลทั้งหมดของมนุษย์อย่างที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ คำพยากรณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ในช่วงไหนของสมัยสุดท้าย และนี่กระตุ้นให้เราประกาศอย่างกระตือรือร้น
10. คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลยังกระตุ้นให้เรากระตือรือร้นมากขึ้นได้ยังไงอีก?
10 นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลยังมีคำพยากรณ์ที่ให้กำลังใจซึ่งเราอยากจะบอกให้คนอื่นรู้ด้วย แครี่ซึ่งรับใช้ที่สาธารณรัฐโดมินิกันบอกว่า “เมื่อคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่พระยะโฮวาสัญญาว่าจะทำในอนาคต ฉันรู้สึกเลยว่าต้องบอกคนอื่นให้รู้ด้วย พอฉันได้เห็นว่าผู้คนต้องเจอกับอะไรบ้าง มันก็ทำให้เห็นเลยว่าคำสัญญาในคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่สำหรับฉันคนเดียว แต่สำหรับพวกเขาด้วย” คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลยังทำให้เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาอยู่เบื้องหลังงานประกาศ นี่ก็เลยกระตุ้นให้เราอยากประกาศสุดความสามารถ เลย์ล่าซึ่งรับใช้ที่ฮังการีบอกว่า “อิสยาห์ 11:6-9 กระตุ้นให้ฉันบอกข่าวดีกับผู้คนแม้แต่กับคนที่ฉันคิดว่าคงไม่ฟัง ฉันรู้ว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ถ้าพระยะโฮวาช่วย” คริสโตเฟอร์ซึ่งอยู่ที่แซมเบียบอกว่า “มาระโก 13:10 บอกไว้ล่วงหน้าว่าจะมีการประกาศข่าวดีไปทั่วโลก ผมเลยรู้สึกเป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้มีส่วนร่วมในการทำให้คำพยากรณ์นี้เป็นจริง” แล้วคุณล่ะ? คำพยากรณ์ข้อไหนในคัมภีร์ไบเบิลที่กระตุ้นให้คุณประกาศต่อ ๆ ไป?
พระเยซูพึ่งความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา
11. ทำไมพระเยซูต้องพึ่งพระยะโฮวาเพื่อจะกระตือรือร้นในการประกาศอยู่เสมอ? (ลูกา 12:49, 53)
11 พระเยซูพึ่งพระยะโฮวาเพื่อจะกระตือรือร้นในการประกาศอยู่เสมอ ถึงแม้พระเยซูรู้จักเลือกใช้คำพูดอย่างดี แต่ท่านก็รู้ว่าข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าจะทำให้หลายคนไม่พอใจและถึงกับต่อต้านอย่างหนัก (อ่านลูกา 12:49, 53) พวกหัวหน้าศาสนาไม่ชอบที่พระเยซูประกาศ พวกเขาถึงกับวางแผนจะฆ่าท่านหลายครั้ง (ยน. 8:59; 10:31, 39) แต่ท่านก็ยังคงประกาศต่อไปเพราะรู้ว่าพระยะโฮวาอยู่กับท่าน พระเยซูบอกว่า “ผมไม่ได้ตัดสินด้วยตัวเอง แต่ตัดสินร่วมกับพ่อของผมที่ใช้ผมมา พระองค์ที่ใช้ผมมานั้นอยู่กับผม พระองค์ไม่ทิ้งผมไว้ให้อยู่คนเดียว เพราะผมทำสิ่งที่พระองค์ชอบเสมอ”—ยน. 8:16, 29
12. พระเยซูเตรียมพวกสาวกให้พร้อมจะประกาศต่อไปยังไงแม้จะเจอการข่มเหง?
12 พระเยซูบอกสาวกของท่านให้พึ่งความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาเสมอ ท่านรับรองหลายครั้งว่าพระยะโฮวาจะช่วยพวกเขาแน่นอนแม้จะเจอการข่มเหง (มธ. 10:18-20; ลก. 12:11, 12) แต่ท่านก็กระตุ้นให้พวกเขาระวังตัวด้วย (มธ. 10:16; ลก. 10:3) ท่านบอกว่า ถ้าใครไม่อยากฟังข่าวดีที่พวกเขาประกาศก็ไม่จำเป็นจะต้องบังคับคนเหล่านั้น (ลก. 10:10, 11) และพระเยซูยังบอกด้วยว่าถ้าเจอการข่มเหงก็ให้หนี (มธ. 10:23) แม้พระเยซูจะกระตือรือร้นและพึ่งพระยะโฮวาเสมอ แต่ท่านก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น—ยน. 11:53, 54
13. ทำไมคุณถึงมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะช่วยคุณ?
13 หลายคนในทุกวันนี้ต่อต้านงานของเรา เราเลยต้องพึ่งความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาเพื่อจะประกาศอย่างกระตือรือร้นต่อ ๆ ไป (วว. 12:17) ทำไมคุณถึงมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะช่วยคุณ? ให้เรามาดูคำอธิษฐานของพระเยซูในยอห์นบท 17 พระเยซูอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้ปกป้องดูแลพวกอัครสาวก และพระยะโฮวาก็ตอบคำอธิษฐานนั้นเพราะในหนังสือกิจการบอกว่าพระยะโฮวาช่วยพวกอัครสาวกให้ประกาศต่อไปอย่างกระตือรือร้นแม้จะเจอการข่มเหง ไม่ใช่แค่นั้น พระเยซูยังได้อธิษฐานขอพระยะโฮวาให้ปกป้องดูแลคนที่แสดงความเชื่อในข่าวสารที่พวกอัครสาวกประกาศ ซึ่งก็รวมถึงคุณด้วย พระยะโฮวายังคงตอบคำอธิษฐานของพระเยซูจนถึงทุกวันนี้ พระองค์จะช่วยคุณแน่นอนเหมือนที่พระองค์เคยช่วยพวกอัครสาวกมาแล้ว—ยน. 17:11, 15, 20
14. เรารู้ได้ยังไงว่าเราจะยังคงประกาศต่อ ๆ ไปอย่างกระตือรือร้นได้แม้จะเจอความยากลำบาก? (ดูภาพด้วย)
14 ถึงแม้ว่างานประกาศจะยากขึ้นอีกเพราะจุดจบของโลกชั่วยิ่งใกล้เข้ามา แต่เราก็มั่นใจได้ว่าเราจะได้รับความช่วยเหลือเพื่อจะประกาศอย่างกระตือรือร้นต่อไปได้แน่ ๆ (ลก. 21:12-15) เราจะเลียนแบบพระเยซูและพวกสาวกโดยประกาศต่อไป ผู้คนจะฟังหรือไม่ฟังก็แล้วแต่พวกเขา และเราจะไม่ทะเลาะกับใคร แม้ว่างานประกาศในบางประเทศจะถูกสั่งห้าม แต่พี่น้องก็ยังคงสามารถประกาศข่าวดีได้ต่อ ๆ ไปเพราะพวกเขาพึ่งพระยะโฮวาไม่ใช่พึ่งกำลังของตัวเอง พระยะโฮวาจะให้กำลังกับเราเพื่อที่เราจะ “ทำงานประกาศได้สำเร็จครบถ้วน” ตามที่พระองค์ต้องการ เหมือนกับที่พระองค์เคยให้กำลังกับพวกผู้รับใช้ของพระองค์ในสมัยศตวรรษแรก (2 ทธ. 4:17) ดังนั้น คุณมั่นใจได้ว่าถ้าคุณพึ่งพระยะโฮวา คุณจะสามารถประกาศต่อ ๆ ไปได้อย่างกระตือรือร้น
แม้จะไม่สามารถประกาศได้อย่างอิสระ แต่พี่น้องที่กระตือรือร้นก็หาวิธีประกาศอย่างระมัดระวัง (ดูข้อ 14)a
พระเยซูคิดในแง่บวกเสมอ
15. อะไรแสดงว่าพระเยซูคิดในแง่บวกกับงานรับใช้?
15 พระเยซูคิดในแง่บวกกับงานรับใช้เสมอ นี่เลยช่วยให้ท่านยังคงกระตือรือร้นในการประกาศ ตัวอย่างเช่น ในช่วงปลายปี ค.ศ. 30 ท่านเห็นเลยว่ามีหลายคนเต็มใจฟังข่าวดีที่ท่านประกาศ และท่านก็เปรียบคนเหล่านี้เป็นเหมือนข้าวในทุ่งที่พร้อมจะเก็บเกี่ยว (ยน. 4:35) ประมาณ 1 ปีต่อมาพระเยซูพูดกับสาวกว่า “งานเกี่ยวเป็นงานใหญ่จริง ๆ” (มธ. 9:37, 38) และในอีก 1 ปีหลังจากนั้นพระเยซูก็บอกอีกว่า “งานเกี่ยวเป็นงานใหญ่จริง ๆ. . . ให้ช่วยกันขอเจ้าของนาให้ส่งคนไปมากขึ้นเพื่อทำงานเกี่ยวของพระองค์” (ลก. 10:2) พระเยซูยังคงมั่นใจว่าจะมีอีกหลายคนฟังข่าวดีที่ท่านประกาศ และพอท่านได้เจอคนที่สนใจท่านก็เลยมีความสุขมาก—ลก. 10:21
16. ตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูช่วยให้มีมุมมองในแง่บวกเกี่ยวกับงานรับใช้ยังไง? (ลูกา 13:18-21) (ดูภาพด้วย)
16 พระเยซูสอนสาวกให้คิดในแง่บวกกับข่าวสารที่พวกเขาประกาศ ซึ่งนี่จะช่วยให้พวกเขายังคงกระตือรือร้นต่อ ๆ ไป ให้เรามาดูตัวอย่างเปรียบเทียบ 2 เรื่องของพระเยซู (อ่านลูกา 13:18-21) เรื่องแรก พระเยซูใช้เมล็ดมัสตาร์ดเพื่อสอนว่าจะมีคนฟังข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ เรื่องที่ 2 ท่านใช้ตัวอย่างของเชื้อขนมปังเพื่อช่วยให้เห็นว่าจะมีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าอย่างกว้างไกลและทำให้หลายคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แม้ตอนแรกอาจจะไม่มีใครสังเกตเห็น ดังนั้น พระเยซูยกตัวอย่างเปรียบเทียบเหล่านี้เพื่อรับรองกับพวกสาวกว่าข่าวดีที่พวกเขาประกาศจะเกิดผลแน่นอน
เราเลียนแบบพระเยซูโดยคิดในแง่บวกและมั่นใจว่าจะมีบางคนฟังข่าวดีที่เราประกาศ (ดูข้อ 16)
17. มีเหตุผลอะไรบ้างที่ช่วยให้เรายังคงคิดในแง่บวกเกี่ยวกับงานรับใช้เสมอ?
17 เมื่อเราคิดว่างานประกาศช่วยผู้คนได้มากขนาดไหน มันจะกระตุ้นให้เราประกาศด้วยความกระตือรือร้นต่อ ๆ ไป ทุกปีมีผู้สนใจหลายล้านคนเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์และศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเรา และก็มีอีกหลายแสนคนที่รับบัพติศมาและมาประกาศข่าวดีด้วยกันกับเรา เราไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีอีกกี่คนที่ตอบรับข่าวดี แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือพระยะโฮวาจะรวบรวมชนฝูงใหญ่ให้รอดผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ (วว. 7:9, 14) พระยะโฮวาผู้เป็นเจ้าของนายังคงมั่นใจว่าจะมีอีกหลายคนที่ตอบรับความจริง เราเลยมีเหตุผลที่ดีที่จะประกาศต่อ ๆ ไป
18. เราอยากให้ผู้คนสังเกตเห็นอะไร?
18 ใคร ๆ ก็รู้ว่าคนที่เป็นสาวกแท้ของพระเยซูจะประกาศอย่างกระตือรือร้น เช่น ตอนที่ผู้คนเห็นว่าพวกอัครสาวกกระตือรือร้นมากแค่ไหนในงานประกาศ ‘พวกเขาก็คิดได้ว่าคนเหล่านี้เคยอยู่กับพระเยซู’ (กจ. 4:13) ดังนั้น ตอนที่เราทำงานประกาศ ขอให้เรากระตือรือร้นเหมือนกัน เพราะนี่จะทำให้คนอื่นสังเกตเห็นว่าเราก็กำลังเลียนแบบพระเยซู
เพลง 58 หาคนที่ชอบความสงบสุข
a คำอธิบายภาพ ที่ปั๊มน้ำมัน พี่น้องชายคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาประกาศแบบระมัดระวัง