บทความศึกษา 36
เพลง 103 ผู้ดูแลเป็นของขวัญจากพระเจ้า
“เชิญพวกผู้ดูแล”
“ให้เขาเชิญพวกผู้ดูแลในประชาคมมาหา”—ยก. 5:14
จุดสำคัญ
คุยกันว่าทำไมเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลตอนที่เราอ่อนแอ
1. พระยะโฮวาแสดงให้เห็นยังไงว่าผู้รับใช้ของพระองค์มีค่ามากสำหรับพระองค์?
ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาทุกคนที่เป็นเหมือนฝูงแกะมีค่ามากสำหรับพระองค์ พระองค์ซื้อพวกเขามาด้วยเลือดของพระเยซูและได้มอบหมายให้ผู้ดูแลในประชาคมดูแลพวกเขา (กจ. 20:28) พระยะโฮวาเลยอยากให้ผู้ดูแลปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความกรุณาและอ่อนโยน เนื่องจากพระยะโฮวาให้พระเยซูเป็นผู้นำของประชาคม ผู้ดูแลจึงต้องทำตามคำแนะนำของพระเยซูและคอยดูแลผู้รับใช้ของพระยะโฮวาให้มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระองค์เสมอ—อสย. 32:1, 2
2. พระยะโฮวาสนใจใครเป็นพิเศษ? (เอเสเคียล 34:15, 16)
2 พระยะโฮวารักและเป็นห่วงผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคน แต่พระองค์สนใจคนที่กำลังทุกข์ใจเป็นพิเศษ บางคนอาจรู้สึกทุกข์ใจเพราะทำผิดและพระยะโฮวาได้จัดเตรียมผู้ดูแลเพื่อจะช่วยเหลือคนเหล่านี้ (อ่านเอเสเคียล 34:15, 16) ถึงอย่างนั้น พระยะโฮวาอยากให้เราทุกคนขอความช่วยเหลือตอนที่กำลังอ่อนแอ พระองค์ไม่ใช่แค่เพียงอยากให้เราอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระองค์เท่านั้น แต่ยังอยากให้เราขอความช่วยเหลือจาก “ผู้บำรุงเลี้ยง และครูสอน” ในประชาคมด้วย—อฟ. 4:11, 12
3. การคุยกันเรื่องหน้าที่ของผู้ดูแลดียังไงสำหรับเรา?
3 ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่าพระยะโฮวาใช้ผู้ดูแลยังไงเพื่อช่วยคนอ่อนแอให้กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์เหมือนเดิม เราจะมาคุยกันเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ เราควรขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลเมื่อไหร่? ทำไมเราต้องทำอย่างนั้น? และผู้ดูแลจะช่วยเรายังไง? ถึงแม้ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวายังไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่คำตอบของคำถามเหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นค่าที่พระยะโฮวาให้มีผู้ดูแลคอยช่วยเรา และบทความนี้จะช่วยเราให้รู้ว่าถ้าสักวันหนึ่งเราต้องการความช่วยเหลือจากผู้ดูแล เราต้องทำยังไง
เราควร “เชิญพวกผู้ดูแล” เมื่อไหร่?
4. ทำไมเราถึงบอกว่าคนป่วยที่พูดถึงในยากอบ 5:14-16, 19, 20 หมายถึงคนที่ป่วยทางด้านความเชื่อ? (ดูภาพด้วย)
4 ยากอบช่วยให้เรารู้ว่าพระยะโฮวาใช้ผู้ดูแลเพื่อช่วยเรายังไง ยากอบบอกว่า “มีใครในพวกคุณป่วยไหม? ก็ให้เขาเชิญพวกผู้ดูแลในประชาคมมาหา” (อ่านยากอบ 5:14-16, 19, 20) ท้องเรื่องนี้ทำให้เห็นว่ายากอบกำลังพูดถึงคนที่ป่วยทางด้านความเชื่อ ซึ่งหมายถึงคนที่ความสัมพันธ์ของเขากับพระยะโฮวากำลังมีปัญหา ยากอบบอกว่าคนที่ป่วยต้องไปหาผู้ดูแล ไม่ใช่ไปหาหมอ และยังบอกด้วยว่าคนที่เป็นแบบนี้จะได้รับการรักษาให้หายก็ต่อเมื่อได้รับการอภัยบาป เหมือนกับตอนที่เราป่วยจริง ๆ เราต้องไปหาหมอ เล่าให้หมอฟังว่าอาการเป็นยังไงบ้าง และทำตามคำแนะนำของหมอ ดังนั้น ตอนที่ความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวามีปัญหา เราควรไปคุยกับผู้ดูแล เล่าปัญหาของเราให้ผู้ดูแลฟัง และทำตามคำแนะนำของผู้ดูแลที่มาจากคัมภีร์ไบเบิล
เหมือนกับตอนที่เราป่วยจริง ๆ เราต้องไปหาหมอตอนที่ความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวามีปัญหา เราต้องไปคุยกับผู้ดูแล (ดูข้อ 4)
5. เราจะรู้ได้ยังไงว่าความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวากำลังอ่อนแอลง?
5 การจัดเตรียมที่พูดถึงในยากอบบท 5 กระตุ้นให้เราคุยกับผู้ดูแลตอนที่เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวากำลังมีปัญหา แต่เป็นเรื่องที่ฉลาดกว่าถ้าเราจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้ดูแลก่อนที่เราจะทำบางอย่างที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์เสียหาย เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง ยากอบเตือนเราว่าเราอาจหลอกตัวเองว่ายังมีความเชื่อเข้มแข็งอยู่ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น (ยก. 1:22) นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริสเตียนบางคนในเมืองซาร์ดิส พระเยซูได้เตือนว่าพระยะโฮวาไม่พอใจพวกเขาอีกต่อไป (วว. 3:1, 2) วิธีหนึ่งที่เราจะตรวจสอบได้ว่าความเชื่อของเราเป็นยังไงก็โดยดูว่าเรายังกระตือรือร้นในการนมัสการเหมือนเมื่อก่อนไหม (วว. 2:4, 5) เราอาจถามตัวเองว่า ‘ตอนนี้ฉันไม่ค่อยมีความสุขกับการอ่านคัมภีร์ไบเบิลและคิดใคร่ครวญเหมือนเมื่อก่อนไหม? ฉันไม่ค่อยจริงจังกับการไปประชุมและฉันเตรียมการประชุมแบบลวก ๆ ไหม? ฉันไม่ค่อยกระตือรือร้นในงานรับใช้ไหม? ฉันทุ่มเทเวลาให้กับการหาเงินหรือคิดแต่จะสนุกอย่างเดียวไหม?’ ถ้าคำตอบของคำถามเหล่านี้คือใช่ มันก็อาจหมายความว่าความสัมพันธ์ที่คุณมีกับพระยะโฮวากำลังอ่อนแอลง และถ้าคุณไม่รีบจัดการ มันจะแย่ยิ่งกว่านี้ ถ้าหากเราไม่สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวาด้วยตัวเองหรืออาจถึงกับลงมือทำสิ่งที่ขัดกับมาตรฐานของพระยะโฮวาไปแล้ว เราควรขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแล
6. คนที่ทำบาปร้ายแรงควรทำอะไร?
6 แน่นอนว่าคนที่ทำบาปร้ายแรงซึ่งอาจทำให้เขาถูกตัดออกจากประชาคมต้องไปหาผู้ดูแล (1 คร. 5:11-13) ใครก็ตามที่ทำบาปร้ายแรงต้องได้รับความช่วยเหลือเพื่อจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เขามีกับพระยะโฮวา พระองค์จะให้อภัยบาปของเราก็ต่อเมื่อเรา “ทำสิ่งที่แสดงว่า [เรา] กลับใจจริง ๆ” (กจ. 26:20) วิธีหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเรากลับใจจริง ๆ ก็คือการไปหาผู้ดูแล
7. ใครอีกที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ดูแล?
7 ผู้ดูแลไม่ใช่แค่ช่วยคนที่ทำผิดร้ายแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยคนที่ความเชื่ออ่อนแอด้วย (กจ. 20:35) ตัวอย่างเช่น คุณอาจรู้สึกแย่เพราะกลัวว่าตัวเองกำลังจะยอมแพ้ให้กับความต้องการผิด ๆ และมันอาจยากเป็นพิเศษถ้าก่อนที่คุณเข้ามาในความจริงคุณเคยติดยา ดูสื่อลามก หรือใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม แต่อย่าคิดว่าคุณต้องสู้กับปัญหาเหล่านี้ตามลำพัง คุณไปคุยกับผู้ดูแลได้ เขาจะตั้งใจฟังเรื่องที่คุณกังวล ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณสามารถสู้กับความต้องการผิด ๆ และทำให้พระยะโฮวาพอใจได้ (ปญจ. 4:12) ถ้าตอนนี้คุณกำลังสู้อยู่และเริ่มรู้สึกเหนื่อยและท้อ ผู้ดูแลจะช่วยให้คุณไม่ลืมว่าที่คุณรู้สึกแบบนี้แสดงว่าคุณถือว่าความสัมพันธ์ที่คุณมีกับพระยะโฮวาเป็นเรื่องสำคัญ และคุณไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากเกินไป—1 คร. 10:12
8. เราต้องคุยกับผู้ดูแลทุกครั้งที่เราทำผิดไหม? ขออธิบาย
8 เราไม่จำเป็นต้องไปคุยกับผู้ดูแลทุกครั้งที่เราทำผิด ตัวอย่างเช่น สมมุติถ้าคุณพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้พี่น้องคนหนึ่งเสียใจ หรือคุณอาจโมโหเขาและควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ แทนที่คุณจะไปหาผู้ดูแล คุณอาจจะทำตามคำแนะนำของพระเยซูที่ให้รักษาสันติสุขและคืนดีกับพี่น้องของคุณ (มธ. 5:23, 24) นอกจากนั้น คุณอาจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับคุณลักษณะต่าง ๆ อย่างเช่น ความอ่อนโยน ความอดทน และการควบคุมตัวเองเพื่อที่คุณจะแสดงคุณลักษณะเหล่านี้ให้ดีขึ้นในอนาคต แต่ถ้าคุณยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ คุณอาจไปหาผู้ดูแลได้ ในจดหมายที่อัครสาวกเปาโลเขียนถึงคริสเตียนในเมืองฟีลิปปี เขาได้ขอพี่น้องชายคนหนึ่งให้ช่วยยูโอเดียกับสินทิเคให้คืนดีกัน ผู้ดูแลในประชาคมของคุณอาจจะช่วยคุณในแบบเดียวกันนั้นได้—ฟป. 4:2, 3
ทำไมเราควรขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแล?
9. ถึงเราจะรู้สึกอายเพราะทำผิด แต่ทำไมเรายังควรขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแล? (สุภาษิต 28:13)
9 ถ้าเราทำบาปร้ายแรงหรือรู้สึกว่ากำลังจะยอมแพ้ให้กับความต้องการผิด ๆ เราต้องมีความเชื่อและความกล้าหาญเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแล ถึงแม้จะรู้สึกอายแต่เราก็ยังควรไปคุยกับผู้ดูแล เพราะอะไร? เพราะพระยะโฮวาให้เรามีผู้ดูแลเพื่อช่วยเราให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ ดังนั้น เมื่อเราไปคุยกับผู้ดูแล เราก็แสดงให้เห็นว่าเราไว้วางใจพระยะโฮวาและเชื่อฟังพระองค์ เรารู้ดีว่าถ้าเรากำลังจะยอมแพ้ให้กับความต้องการผิด ๆ เราต้องให้พระยะโฮวาช่วย (สด. 94:18) และถ้าเราทำบาป เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะเมตตาเราถ้าเราสารภาพบาปและเลิกทำผิด—อ่านสุภาษิต 28:13
10. จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราพยายามปกปิดความผิดร้ายแรงที่เราทำ?
10 ถ้าเราสารภาพความผิดกับผู้ดูแล พระยะโฮวาจะให้อภัยเราและเราจะกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ได้อีกครั้ง แต่ถ้าเราไม่ไปคุยกับผู้ดูแล เราก็จะยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นไปอีก ตอนที่กษัตริย์ดาวิดพยายามปกปิดความผิดของตัวเอง เขารู้สึกเศร้าเสียใจมากและถึงกับหมดแรง (สด. 32:3-5) เหมือนกับตอนที่เราป่วยหรือบาดเจ็บ ยิ่งเราปล่อยไว้นานและไม่ยอมรักษา อาการก็จะยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ เหมือนกันถ้าเราทำบาปร้ายแรงและปล่อยไว้โดยไม่ยอมไปขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแล เราก็จะยิ่งทุกข์ใจหนักขึ้นไปอีกและอาจสูญเสียความสัมพันธ์ที่มีกับพระยะโฮวา พระองค์เข้าใจเรื่องนี้ดี พระองค์ก็เลยเชิญเราให้ “มาคุยกัน” กับพระองค์ผ่านทางผู้ดูแลซึ่งเป็นช่องทางที่พระองค์จัดเตรียมไว้—อสย. 1:5, 6, 18
11. ถ้าเราพยายามปกปิดความผิดร้ายแรง คนอื่นอาจได้รับผลกระทบยังไง?
11 ถ้าเราพยายามปกปิดความผิดร้ายแรง คนอื่นอาจได้รับผลเสียด้วย เราอาจทำให้พี่น้องในประชาคมไม่มีสันติสุขและไม่ได้รับพลังบริสุทธิ์จากพระเจ้า (อฟ. 4:30) ในขณะเดียวกัน ถ้าเรารู้ว่ามีพี่น้องคนหนึ่งทำผิดร้ายแรง เราควรบอกให้เขาไปคุยเรื่องนั้นกับผู้ดูแลa ถ้าเราพยายามปกปิดความผิดของพี่น้องคนนั้น เราเองก็กำลังทำบาปต่อพระยะโฮวาด้วย (ลนต. 5:1) ความรักที่เรามีต่อพระยะโฮวาควรจะกระตุ้นเราให้บอกความจริงกับผู้ดูแล ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะช่วยทำให้ประชาคมสะอาดในสายตาพระยะโฮวาและจะช่วยให้คนที่ทำบาปกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์อีกครั้ง
ผู้ดูแลจะช่วยเรายังไง?
12. ผู้ดูแลช่วยเหลือคนที่ความเชื่ออ่อนแอยังไง?
12 คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าผู้ดูแลต้องช่วยคนที่ความเชื่ออ่อนแอ (1 ธส. 5:14) ถ้าคุณทำผิดแล้วไปคุยกับผู้ดูแล พวกเขาอาจถามคำถามเพื่อที่จะเข้าใจความคิดและความรู้สึกของคุณ (สภษ. 20:5) คุณสามารถช่วยพวกเขาได้โดยเล่าความรู้สึกทั้งหมดของคุณออกมา ขอให้ทำแบบนั้นถึงแม้คุณอาจรู้สึกยากเพราะวัฒนธรรม นิสัยส่วนตัว หรืออาจอายที่จะบอกว่าคุณกำลังเจอปัญหาอะไร อย่ากังวลถ้าคุณพูดอะไรออกมาแบบ “ไม่ยั้งคิด” (โยบ 6:3) ผู้ดูแลจะไม่รีบตัดสินคุณจากสิ่งที่คุณพูด แต่พวกเขาจะตั้งใจฟังเพื่อจะเข้าใจภาพรวมก่อนให้คำแนะนำ (สภษ. 18:13) ผู้ดูแลรู้ว่าเพื่อจะช่วยเหลือคนที่ความเชื่ออ่อนแอต้องใช้เวลา ดังนั้น พวกเขาเข้าใจดีถ้าคุณอยากจะคุยกับพวกเขามากกว่า 1 ครั้ง
13. เมื่อผู้ดูแลอธิษฐานเพื่อเราและให้คำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิล นี่จะช่วยเรายังไง? (ดูภาพด้วย)
13 เมื่อคุณไปคุยกับผู้ดูแล พวกเขาจะไม่ทำให้คุณรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก แทนที่จะทำอย่างนั้นพวกเขาจะอธิษฐานเพื่อคุณ แล้วคุณจะได้เห็นว่าคำอธิษฐานของผู้ดูแล “มีพลังและได้ผลดี” มากกว่าที่คุณคิด ผู้ดูแลยังช่วยคุณโดย “เอาน้ำมันทาให้ [คุณ] ในนามของพระยะโฮวา” (ยก. 5:14-16) “น้ำมัน” นี้หมายถึงความจริงในคัมภีร์ไบเบิล ผู้ดูแลจะใช้ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ เพื่อปลอบใจและให้กำลังใจคุณและช่วยคุณให้กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาเหมือนเดิม (อสย. 57:18) คำแนะนำของผู้ดูแลที่มาจากคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยให้คุณตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องต่อ ๆ ไป คุณจะได้ยินเสียงของพระยะโฮวาผ่านทางผู้ดูแลว่า “ทางที่ถูกอยู่ตรงนี้ เดินทางนี้สิ”—อสย. 30:21
ผู้ดูแลจะใช้ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ เพื่อปลอบใจและให้กำลังใจคนที่อ่อนแอ (ดูข้อ 13-14)
14. จากกาลาเทีย 6:1 ผู้ดูแลช่วยคนที่ “ก้าวไปผิดทาง” ยังไง? (ดูภาพด้วย)
14 อ่านกาลาเทีย 6:1 คริสเตียนที่ “ก้าวไปผิดทาง” คือคนที่ไม่ได้ทำตามมาตรฐานที่ถูกต้องของพระยะโฮวา การก้าวไปผิดทางอาจหมายถึงการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดหรือการทำบาปร้ายแรง ความรักจะกระตุ้นผู้ดูแลให้ “พยายามช่วยคนนั้นให้กลับมาในทางที่ถูกต้องด้วยความอ่อนโยน” คำภาษากรีกที่แปลว่า “ช่วยคนนั้นให้กลับมาในทางที่ถูกต้อง” ทำให้นึกถึงหมอที่ช่วยจัดกระดูกให้กับคนที่กระดูกหักเพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกผิดรูปไปตลอด หมอที่เก่งจะค่อย ๆ ปรับกระดูกโดยพยายามให้คนไข้รู้สึกเจ็บน้อยที่สุด เหมือนกันผู้ดูแลจะช่วยคนที่ก้าวไปผิดทางให้กลับมามีความเชื่อเข้มแข็งโดยไม่ทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก คัมภีร์ไบเบิลยังบอกด้วยว่าผู้ดูแลต้อง “ระวังตัวเองด้วย” เมื่อผู้ดูแลช่วยเรา พวกเขาจะไม่ลืมว่าตัวเองก็เป็นคนไม่สมบูรณ์แบบและทำผิดพลาดได้ ดังนั้น พวกเขาจะไม่คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น พวกเขาจะไม่ตัดสินคนอื่นแต่จะพยายามเป็นคนถ่อมตัวและเห็นอกเห็นใจ—1 ปต. 3:8
15. เมื่อเจอปัญหา เราทำอะไรได้?
15 เราไว้ใจผู้ดูแลในประชาคมได้เพราะพวกเขาถูกฝึกให้เก็บเรื่องที่เราเล่าให้พวกเขาฟังเป็นความลับ ให้คำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลแทนที่จะให้คำแนะนำจากความคิดของตัวเอง และช่วยพี่น้องให้รับมือกับปัญหาต่อ ๆ ไปได้ (สภษ. 11:13; กท. 6:2) แม้ผู้ดูแลแต่ละคนมีนิสัยและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน เราก็สามารถไปคุยกับผู้ดูแลคนไหนก็ได้ แต่เราไม่ควรคิดว่าจะไปขอคำแนะนำจากผู้ดูแลทีละคนจนกว่าจะเจอคนที่ให้คำแนะนำที่ถูกใจเรา ถ้าเราทำแบบนั้นเราก็จะเป็นเหมือนคนที่ “รวบรวมครูไว้มาก ๆ เพื่อให้สอนเรื่องที่ . . . อยากฟัง” แทนที่จะฟัง “คำสอนที่เป็นประโยชน์” จากคัมภีร์ไบเบิล (2 ทธ. 4:3) ตอนที่เราไปปรึกษาผู้ดูแลคนหนึ่ง เขาอาจถามว่าเราเคยคุยเรื่องนี้กับผู้ดูแลคนอื่นหรือยังและได้คำแนะนำอะไรมาบ้าง และความเจียมตัวจะกระตุ้นให้เขาไปขอคำแนะนำจากผู้ดูแลคนอื่นด้วยถ้าจำเป็น—สภษ. 13:10
หน้าที่รับผิดชอบของเรา
16. เรามีหน้าที่รับผิดชอบอะไร?
16 ถึงแม้ผู้ดูแลจะมีหน้าที่คอยดูแลเราซึ่งเป็นแกะของพระยะโฮวา แต่พวกเขาก็จะไม่บอกว่าเราควรตัดสินใจยังไง เราแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะใช้ชีวิตในแบบที่พระองค์พอใจ เราต้องรับผิดชอบคำพูดและการกระทำของเราเพราะพระยะโฮวาดูเราอยู่ และพระองค์จะคอยช่วยเราให้ตัดสินใจได้อย่างฉลาดและรักษาความซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไปได้ (รม. 14:12) ดังนั้น แทนที่ผู้ดูแลจะคอยบอกทุกอย่างว่าเราควรทำอะไร พวกเขาจะช่วยเราให้สนใจว่าพระยะโฮวาคิดยังไงในเรื่องนั้นโดยให้เราดูคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิล ถ้าเราทำตามคำแนะนำของพวกเขา เราก็จะ “ฝึกใช้ความคิด” จนสามารถตัดสินใจได้อย่างฉลาด—ฮบ. 5:14
17. เราควรตั้งใจที่จะทำอะไร?
17 เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่เราได้เป็นแกะของพระยะโฮวา พระองค์ส่งพระเยซูซึ่งเป็น “คนเลี้ยงแกะที่ดี” มาสละชีวิตเป็นค่าไถ่เพื่อช่วยให้เรามีโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไป (ยน. 10:11) พระยะโฮวายังให้มีผู้ดูแลในประชาคมที่คอยดูแลเราเหมือนที่พระองค์สัญญาไว้ว่า “เราจะตั้งคนเลี้ยงแกะที่ทำตามใจเรา พวกเขาจะเลี้ยงดูพวกเจ้าด้วยความรู้และความเข้าใจ” (ยรม. 3:15) เมื่อเราป่วยหรืออ่อนแอทางด้านความเชื่อ ขออย่ากลัวที่จะไปหาผู้ดูแล ให้เราตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการจัดเตรียมของพระยะโฮวาที่พระองค์ให้มีผู้ดูแลคอยช่วยเรา
เพลง 136 ‘รางวัลมากมาย’ จากพระยะโฮวา
a ถ้าคุณรู้ว่าพี่น้องคนหนึ่งทำผิดแต่ไม่ยอมไปคุยกับผู้ดูแลหลังจากผ่านไประยะหนึ่งแล้ว คุณจะแสดงความภักดีต่อพระยะโฮวาได้โดยไปบอกผู้ดูแลเกี่ยวกับสิ่งที่คุณรู้