จากกองทัพนาซีสู่งานรับใช้ในสเปน
เล่าโดย เกออร์ก รอยเตอร์
ชีวิตมีความหมายอะไร? พวกเราส่วนใหญ่ คงมีสักครั้งในชีวิตที่ถามปัญหาอันสำคัญยิ่งนี้. การเสียชีวิตของคนในครอบครัว อุบัติเหตุร้ายแรง หรือความเสื่อมทรุดเนื่องจากวัยชราก็อาจทำให้เราต้องครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เราดำรงชีวิตอยู่.
สำหรับผม เรื่องนี้เกิดขึ้นในฤดูร้อนปี 1930 เมื่อผมอายุเพียงหกขวบ. ผมอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่เมืองเอสเซน ประเทศเยอรมนี. ผมจะไม่มีวันลืมคราวที่โลกอันมีแต่ความสุขรื่นรมย์ของผมต้องพังทลายลง เมื่อผมพบเจ้านกขมิ้นตัวโปรดของพวกเรานอนตายอยู่ในกรง. ผมถามตัวเองว่า ‘มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? มันเคยส่งเสียงร้องอย่างเพราะพริ้งอยู่เสมอนี่.’
ผมเอานกที่ตายใส่ในกระป๋องเปล่าใบหนึ่งอย่างทะนุถนอมแล้วฝังไว้ในสวน. แต่ผมก็ไม่สามารถลืมเรื่องนี้ได้. แม้จะผ่านไปหลายเดือน ผมก็ยังครุ่นคิดถึงการตายของมันจนกระทั่งผมไม่อาจกลั้นความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ได้. ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในสวน และขุดเอากระป๋องขึ้นมา. พอเปิดออกดู ผมรู้สึกประหลาดใจจริง ๆ! นกไม่อยู่ในกระป๋องแล้ว เหลือแต่กระดูกไม่กี่ชิ้นกับขนไม่กี่เส้น. นั่นน่ะหรือคือทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตของนกตัวหนึ่ง? แล้วพวกเราล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตายไป?
ในตอนนั้นคำถามของผมยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีคำตอบ. แต่มีเหตุการณ์อันน่ากลัวหลายอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาโดยที่ผมไม่ทราบ ซึ่งทำให้ผมต้องแสวงหาคำตอบอย่างกระตือรือร้นยิ่งขึ้นสำหรับปัญหาที่รบกวนจิตใจตั้งแต่วัยเด็กนั้น.
การล้างสมองและความโหดร้ายของพวกนาซี
หลายปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว และผมได้ไปฝึกงานเป็นช่างก่อสร้าง. ขณะนั้นฮิตเลอร์ก้าวขึ้นมามีอำนาจ และการโฆษณาชวนเชื่อของเขากำลังโหมกระหน่ำเต็มที่ในการล้างสมองคนทั้งชาติ. ประชาชนจะพูดทักทายกันด้วยคำ “ไฮล์ ฮิตเลอร์!” แทนคำว่า “สวัสดี.” มีคนสวมเครื่องแบบอยู่ทุกหนทุกแห่ง: พวกยุงโฟล์ค (กลุ่มยุวชน) ฮิตเลอร์–ยูเกนด์ (ยุวชนฮิตเลอร์) บุนด์ ดอยท์เชอร์ แมดเชน (กลุ่มยุวสตรีเยอรมัน) เอสอา (หน่วยโจมตียานเกราะ) และเอสเอส (หน่วยทหารคุ้มกันชั้นยอดของฮิตเลอร์). และผมจำได้ชัดเจนถึงขบวนเดินแถวของทหารที่มีนับครั้งไม่ถ้วน กองดุริยางค์และเสียงแตรในท้องถนน—เป็นภาพที่ตื่นเต้นเร้าใจสำหรับพวกยุวชนซึ่งง่ายต่อการโน้มน้าวจิตใจ.
ไม่นานนักผมเองก็ได้เข้าร่วมกับพวกเขา คล้อยตามกับความตื่นกระตือที่มีอยู่ทั่วไป. การออกอากาศก็มีแต่คำขวัญปลุกใจ อย่างเช่น “วันนี้เยอรมันเป็นของเรา วันหน้าทั้งโลกจะเป็นของเรา” และ “ธงสำคัญกว่าชีวิต.” ผมซึ่งเป็นวัยรุ่นที่หลงเชื่อง่ายก็นิยมชมชอบคำขวัญเหล่านั้นโดยไม่ได้คิดอะไร.
แม้แต่ในช่วงต้น ๆ ด้านที่ชั่วร้ายของการปกครองระบอบนาซีก็มีให้เห็น. เช้าวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ปี 1938 ผมเห็นโบสถ์ของพวกยิวแห่งหนึ่งเกิดเพลิงไหม้. น่าแปลก มีพนักงานดับเพลิงยืนอยู่ในบริเวณนั้นหลายคน แต่พวกเขาไม่ได้กระดิกตัวสักนิดเพื่อจะดับไฟ. ในวันเดียวกันนั้นห้างสรรพสินค้าชั้นนำแห่งหนึ่งก็เต็มไปด้วยเศษกระจกแตก. ร้านค้าของพวกยิวถูกปล้นและถูกทำลายในช่วงเวลาซึ่งต่อมาเรียกกันว่าคริสตัลนัคท์ (ราตรีแก้วผลึก). ปฏิบัติการเหล่านี้หน่วยเอสเอสได้เตรียมแผนขึ้น แต่ทำให้ดูเหมือนว่าเป็น “การประท้วงที่เกิดขึ้นเอง” ของประชาชนต่อพวกยิว. ได้มีการเสี้ยมสอนให้ชิงชังพวกยิวไปทุกหนทุกแห่ง.
บทบาทของผมในสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่ออายุได้สิบหกปี ผมได้ยินคำแถลงการณ์สำคัญทางวิทยุในวันที่ 1 กันยายน 1939 ดังนี้: กองทหารเยอรมันได้รุกข้ามเขตแดนโปแลนด์แล้ว. การรุกรานโปแลนด์ได้เริ่มขึ้น และสงครามโลกครั้งที่สองได้ระเบิดขึ้นแล้ว.
เมื่อการฝึกงานของผมเสร็จสิ้นลง ผมก็เข้าประจำการในกองทัพเยอรมัน. หลังจากการฝึกเบื้องต้นแล้วผมถูกส่งไปโปแลนด์. ที่นั่นผมได้รู้เห็นการเผาทำลายย่านคนยิวในวอร์ซอ. ผมเห็นขบวนรถไฟเพียบไปด้วยเหล่าผู้น่าเวทนา มุ่งสู่ค่ายกักกันอันเหี้ยมโหด. มีบางอย่างที่ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง แต่ผมก็ไม่ได้เก็บเอามาคิด. ผมยังคงวางใจในสติปัญญาอันไม่มีวันผิดพลาดของฟือเรอร์ (ผู้นำ ซึ่งหมายถึงฮิตเลอร์).
หลังจากเยอรมันรุกรานสหภาพโซเวียตไม่นาน ผมก็ถูกส่งไปยังเขตคอเคซัส. น่าเศร้าจริง ๆ ที่ได้เห็นดินแดนอันสวยงามชุ่มโชกด้วยโลหิตจากสงคราม! ครั้นแล้วฤดูหนาวอันเลวร้ายแห่งปี 1942–1943 ได้มาถึง ซึ่งกองทัพเยอรมันไม่ได้เตรียมการณ์อะไรไว้เลย. เราไม่อาจทำได้แม้กระทั่งจะฝังศพเพื่อนทหารของเราในดินที่เย็นจนแข็งไปหมด. ฤดูหนาวคราวนั้นเป็นจุดจบของการรุกคืบหน้าของเรา—เราแพ้การรบที่สตาลินกราด ที่จริงเราสูญเสียทั้งกองทัพ. แม้ฮิตเลอร์จะโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการล่าถอยของเราว่าเป็นการตรึงกำลังที่ “พรมแดนอันมั่นคง” ก็ตาม แต่ทหารอย่างพวกเราต้องการอย่างเดียวคือกลับบ้าน. ในที่สุดสภาพจริงของสงครามที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณเหล่านั้นก็ทำให้ผมมั่นใจว่าความฝันอันยิ่งใหญ่ของฮิตเลอร์ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าภาพลวงตาเท่านั้นเอง.
ระหว่างการล่าถอยจากสหภาพโซเวียต ผมได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนใหญ่. เกิดแผลฉกรรจ์ที่หน้าอก และผมถูกนำส่งโรงพยาบาลทหาร. ที่นั่น ผมได้เห็นผลอันสยดสยองของสงครามกับตาของผมเองคือ ทหารแขนขาขาด สภาพสิ้นหวัง และความไร้ประโยชน์อันน่าสังเวช. ผมจึงหวนนึกถึงนกขมิ้นที่ตายไป. มีความแตกต่างกันจริง ๆ ไหมระหว่างมนุษย์กับสัตว์?
นับว่าผมเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่โชคดีทีเดียว. ผมหายจากอาการบาดเจ็บและรอดชีวิตจากสงครามด้วย. เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ผมถูกส่งตัวไปยังค่ายนักโทษสงครามที่ฝรั่งเศส แต่ในที่สุดผมก็ได้กลับไปหาครอบครัว ซึ่งทุกคนก็ได้รอดผ่านช่วงเวลาหลายปีแห่งความสยดสยองนั้นมาได้.
ทัศนะเปลี่ยนไปตลอดกาล
ช่วงที่ผมจากบ้านไปเป็นเวลานานนั้น คุณพ่อคุณแม่และน้องชายได้เข้าเป็นพยานพระยะโฮวาแล้ว. ไม่นานเราก็ใช้เวลามากทีเดียวพูดคุยกันถึงเรื่องศาสนา. ผมไม่อาจเชื่อในพระเจ้าที่ยอมให้กับความชั่วช้าและความทุกข์ทรมานมากมายเช่นนั้นได้. พวกเราเหล่าทหารเยอรมันคาดเข็มขัดซึ่งที่หัวเข็มขัดสลักว่า “พระเจ้าอยู่กับเรา.” แต่อยู่ไหนล่ะ ผมถาม พระเจ้าเคยอยู่กับเราไหมในคราวที่เราลำบากและกำลังจะตาย? นักเทศน์นักบวชเคยย้ำกับเราว่าฮิตเลอร์คือของประทานจากพระเจ้า ดีจริงนะ ที่มาทำให้ประเทศเราย่อยยับอย่างนี้.
โดยใช้คัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักในการอธิบาย คุณพ่อพยายามแสดงให้ผมเห็น ถึงสาเหตุที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงแห่งความยากลำบากเช่นนั้น. ท่านช่วยผมให้เข้าใจว่าพระเจ้าไม่ทรงสนับสนุนฝ่ายใดเลยในการสงครามของมนุษย์และอีกไม่ช้าพระองค์จะทรง “ยุติสงครามจนถึงที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลก.” (บทเพลงสรรเสริญ 46:9, ล.ม.) ท่านแสดงให้ผมเห็นจากพระคัมภีร์ว่าในเรื่องความตายแล้ว “มนุษย์ไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่าสัตว์เดียรัจฉาน.”—ท่านผู้ประกาศ 3:19.
วันอาทิตย์ต่อมาคุณพ่อคุณแม่ชวนผมไปกับท่านยังการบรรยายสาธารณะซึ่งจัดโดยคณะพยานพระยะโฮวา. ผมจะไม่มีวันลืมวันนั้นเลย. การประชุมจัดขึ้น ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งใช้ม้ายาวเล็ก ๆ เป็นที่นั่ง. ผมไม่ได้นึกอยากจะไปโรงเรียนอีก กระนั้นผมก็อยู่ที่นั่น นั่งเอาขายาว ๆ ของผมสอดแอบเข้าไปใต้ม้านั่งเล็ก ๆ. แต่คำบรรยายน่าสนใจมากจนทำให้ผมลืมความไม่สะดวกสบายนั้นเสีย. ในชั่วโมงที่สอง ผมสังเกตเห็นว่าผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคนต่างเข้าส่วนอย่างกระตือรือร้นในการพิจารณาเรื่องจากพระคัมภีร์ โดยตอบคำถามที่ผู้นำการประชุมยกขึ้นมา.
พอการประชุมเสร็จ พวกเขาหลายคนเข้ามาทักทายผม. ความจริงใจฉันมิตรของพวกเขาชนะใจผม. ผมเป็นคนสูบบุหรี่ค่อนข้างจัด ฉะนั้น ความจริงที่ว่าไม่มีใครในที่นั่นสูบบุหรี่เลยทำให้ผมเกิดความประทับใจในทันที.
จากวันนั้นเป็นต้นมา ผมไปร่วมการประชุมของพวกพยานฯ ทุกรายการอีกทั้งได้ออกความคิดเห็นด้วย. ในที่สุดผมก็เริ่มเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น. ผมได้มาตระหนักว่าไม่ควรตำหนิพระเจ้าเนื่องด้วยการนองเลือดในสงครามโลกครั้งที่สอง. ผมได้เรียนรู้ว่าพระประสงค์ของพระองค์ก็คือเพื่อทำให้ทั่วโลกเป็นอุทยานพร้อมด้วยความสุขตลอดไปสำหรับมนุษย์ที่เชื่อฟัง. และมีที่สำหรับ ผม ด้วยในพระประสงค์ของพระเจ้า หากผมปรารถนาเช่นนั้น.
นี้เป็นข่าวสารที่ควรค่าแก่การประกาศโฆษณาอย่างแน่นอน. ฮิตเลอร์เคยโอ้อวดเกี่ยวกับ “จักรวรรดิไรค์พันปี” ของเขา แต่ก็ได้ปกครองเพียงสิบสองปีและพร้อมด้วยผลบั้นปลายอันน่าอัปยศอดสู! อันที่จริง ไม่ใช่ฮิตเลอร์หรือผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์คนใด ๆ แต่ว่าพระคริสต์ต่างหาก ที่สามารถและจะสถาปนารัชสมัยพันปีขึ้นบนแผ่นดินโลก หลังจากที่กวาดล้างความชั่วทุกรูปแบบที่ก่อความทุกข์ทรมานแก่มนุษยชาติอยู่ในปัจจุบันนี้.—วิวรณ์ 20:4.
ความหวังอันยอดเยี่ยมเช่นนั้นดึงดูดใจผม ผมจึงไม่อาจรั้งรอไว้ที่จะบอกเล่าสิ่งเหล่านี้แก่เพื่อน ๆ. ในที่สุดผมก็ได้พบความหมายที่แท้จริงของชีวิต. แน่นอนทีเดียว สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือเลิกสูบบุหรี่ ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับผม. แต่ผมได้กำหนดวันที่แน่นอนไว้ และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมไม่ยอมทำให้ตัวผมแปดเปื้อนด้วยยาสูบ. ผมตระหนักว่าในฐานะที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ผมถูกเรียกร้องให้ชำระตัวปราศจาก “มลทินทุกอย่างแห่งเนื้อหนังและวิญญาณจิต.”—2 โกรินโธ 7:1.
การรับใช้เต็มเวลาที่เบเธล
หลังจากอุทิศตัวและรับบัพติสมาไม่นาน ผมก็ได้เริ่มทำงานในฐานะผู้เผยแพร่ศาสนาเต็มเวลาของคณะพยานพระยะโฮวาร่วมกับน้องชายผม. เราทำงานอาชีพของเราเสร็จในตอนกลางวัน แล้วเราก็จะเดินทางโดยจักรยานไปยังเขตทำงานที่ได้รับมอบหมาย. แม้ว่าเราไม่ค่อยจะมีหนังสือในช่วงปีแรก ๆ หลังสงคราม แต่เราก็พยายามช่วยผู้สนใจที่ได้พบอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ โดยการให้วารสาร หนังสือปกแข็งหรือจุลสารไว้อ่านชั่วระยะหนึ่ง เพื่อจะให้ผู้คนจำนวนมากเท่าที่เป็นไปได้สามารถรับประโยชน์จากข่าวสารในสิ่งพิมพ์นั้น. แต่ไม่นานนักสภาพการณ์เช่นนี้ก็ได้เปลี่ยนไป.
นาธาน เอช. นอร์ ซึ่งตอนนั้นเป็นนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ได้มาเยี่ยมที่เยอรมนี และได้มองเห็นความจำเป็นที่จะมีหนังสือมากขึ้น. ไม่นานนัก การขนส่งหนังสือครั้งแรกจากบรุคลินก็มาถึง งานที่สำนักงานสาขาในเยอรมันจึงมีเพิ่มขึ้น ในการจัดส่งหนังสือเหล่านี้ไปยังประชาคมทุกแห่ง. วันหนึ่งผมกับน้องชายได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งมีข้อความว่า “ขอมาที่ไบเบิล เฮ้าส์ [เบเธล] ด่วน.”
ผมจำได้ตอนนั้นผมได้พูดกับน้องชายว่าการมอบหมายนี้คงจะทำให้เรามีโอกาสศึกษาพระคัมภีร์กันเกือบทั้งวัน. แต่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชีวิตที่เบเธลนั้นได้อันตรธานไปอย่างรวดเร็วเมื่อเราไปถึงและได้รับการแจ้งว่า “เราต้องการคนหนึ่งสำหรับงานโรงพิมพ์และอีกคนหนึ่งสำหรับแผนกขนส่ง! ฉะนั้นกรุณาไตร่ตรอง และตัดสินใจว่าใครจะสมัครทำงานด้านไหน.” ในที่สุด ผมทำงานแผนกขนส่ง และน้องชายทำงานโรงพิมพ์.
ในช่วงที่มีงานมากมายนั้น เวลาของเราสำหรับการอ่านพระคัมภีร์มีจำกัดจริง ๆ. บางครั้งเราทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อจะส่งหนังสือถึงประชาคมต่าง ๆ ให้ทันเวลา. แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การได้ทำงานร่วมกับพี่น้องที่ซื่อสัตย์อย่างเช่น เอริค ฟรอสท์, คอนราด ฟรังเก, และ เอากุสท์ เพเทอร์ส ซึ่งทุกคนเคยอยู่ในค่ายกักกันเป็นเวลาหลายปีนั้น ช่วยเราให้เติบโตผ่ายวิญญาณได้มากทีเดียว.
ในแผนกที่ผมทำงานอยู่นั้นมีพี่น้องวัยสาวคนหนึ่งชื่อ มักดาเลนา คูสเซโรว์. เธอได้อดทนถึงสี่ปีในค่ายกักกันเนื่องจากไม่ยอมกล่าวคำสดุดี “ไฮล์ ฮิตเลอร์!” ตรงกันข้ามกับผมซึ่งถูกส่งไปยังค่ายนักโทษสงครามที่ฝรั่งเศสเนื่องจากได้ทำการรบเพราะถูกชักนำอย่างผิด ๆ เพื่ออุดมการณ์นั้น. อย่างไรก็ตาม ความจริงแห่งพระคำของพระเจ้าได้นำเรามาพบกัน. เรามีเป้าหมายเดียวกัน และได้ตัดสินใจรับใช้พระเจ้าด้วยกัน.
ทำครัวด้วยหัวรถจักร
ภายหลังการสมรส เรากระหายจะรับใช้เต็มเวลาต่อไปโดยรู้อยู่ว่ายังมีงานอีกมากมายที่จะต้องทำ. และเราได้รับพระพรด้วยการทำงานมอบหมายที่น่าสนใจหลายอย่างทีเดียว. อย่างเช่น ในปี 1951 ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลแผนกคาเฟเทเรียสำหรับการประชุมใหญ่สามวันในแฟรงค์เฟอร์ต (เยอรมันตะวันตก) ซึ่งเราวางโครงการจะเลี้ยงผู้เข้าร่วมถึงประมาณ 35,000 คน.
งานหนักที่น่าหวั่นใจคอยเราอยู่เบื้องหน้า—ที่จะเตรียมอาหารร้อน ๆ สำหรับคนจำนวนมากเช่นนั้น ด้วยเครื่องมือเพียงไม่กี่ชิ้น. แต่เราก็คิดหาวิธีออกด้วยการใช้หม้อไอน้ำขนาดใหญ่จำนวน 51 ใบ ซึ่งจะถูกทำให้ร้อนด้วยไอน้ำจากหัวรถจักร. เราจะหารถจักรไอน้ำได้ที่ไหน? ในที่สุดบริษัทรถไฟก็ยอมให้เรายืมหัวรถจักรของเขาได้คันหนึ่ง และบริษัทแห่งหนึ่งในแฟรงค์เฟอร์ตได้ประดิษฐ์วาล์วปรับความดันให้เรา. จึงทำให้หัวรถจักรนั้นสามารถจ่ายไอน้ำในระดับความดันที่เหมาะสมสำหรับการทำอาหาร.
พวกเราทุกคนรู้สึกโล่งใจจริง ๆ เมื่อการทดสอบในวันก่อนการประชุมประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง! หนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวละเอียดเกี่ยวกับ “การประดิษฐ์คิดค้นใหม่” สำหรับเลี้ยงอาหารคนจำนวนมากนี้ พร้อมทั้งมีภาพโรงครัวกับหัวรถจักรลงประกอบด้วย. ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะอย่างยิ่งต่อการประชุม “การนมัสการอันบริสุทธิ์” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 47,000 คน.
ขณะที่ยังอยู่ ณ การประชุมใหญ่นั้น ผมได้รับคำเชิญให้รับใช้ในฐานะตัวแทนเดินทางของสมาคมว็อชเทาเวอร์. ตอนแรกผมรับใช้ในฐานะผู้ดูแลหมวด ทำการเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ในแต่ละสัปดาห์ โดยมีภรรยาของผมเคียงคู่ไปด้วย และต่อมาก็ในฐานะผู้ดูแลภาค เยี่ยมทั้งหมวด ณ การประชุมใหญ่. เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้รับใช้ร่วมกับพี่น้องอย่าง มาร์ติน เพิทซิงเกอร์ (ซึ่งภายหลังได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการปกครองแห่งคณะพยานพระยะโฮวา) เอช. ดิคมันน์ และ อาร์. เคลซี. เราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากพี่น้องอาวุโสเหล่านี้. แต่ละวันที่ได้ทำงานร่วมกับพวกเขายังผลเป็นพระพรจริง ๆ เนื่องจากแต่ละคนก็มีของประทานต่างกันไปที่จะแบ่งปันให้เรา.
งานมิชชันนารีในแอฟริกาและสเปน
ในปี 1961 ผมได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าอบรมที่ ว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล สคูล ออฟ กีเลียด ในบรุคลิน นิวยอร์ก ในชั้นเรียนมีพี่น้องชายเป็นส่วนใหญ่ และหลักสูตรใช้เวลาสิบเดือน. ในช่วงเวลานั้น ภรรยาผมซึ่งเข้าเรียนกับผมไม่ได้ก็ยังคงอยู่ที่เยอรมนี. แม้จะอยู่คนละแห่ง เราก็เล่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนกันโดยทางจดหมายอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นวันเวลาจึงผ่านไปไม่รู้ตัว.
งานมิชชันนารีที่เราได้รับมอบหมายคือที่ โตโก ประเทศเล็ก ๆ ทางตะวันตกของแอฟริกา. เพื่อจะเข้าถึงหัวใจของผู้คนแห่งดินแดนนั้น เราต้องเรียนภาษาใหม่คือภาษาเอเว. นั้นคุ้มค่าทีเดียวกับความพยายาม. สำหรับผู้คนซึ่งมีน้ำใจเอื้อเฟื้ออย่างชาวโตโกแล้ว คนต่างชาติทุกคนคือมิตร แต่หากคนใดพูดภาษาของพวกเขาได้ เขาจะถือว่าคนนั้นคือพี่น้อง.
หลังจากถึงโตโกไม่นาน ผมได้เริ่มการศึกษาพระคัมภีร์กับเด็กหนุ่มแอฟริกันคนหนึ่งชื่ออับราฮัมซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง. ไม่นานเขาก็ร่วมกับผมในงานประกาศ และปรากฏว่าเป็นผู้ช่วยที่มีคุณค่ามากในการช่วยผมอธิบายข่าวสารแห่งพระคัมภีร์แก่ผู้คนที่พูดภาษาเอเว.
เราใช้หนังสือตั้งแต่อุทยานที่สูญเสียไปจนกระทั่งอุทยานที่ได้กลับคืนอีกอย่างได้ผลดี ซึ่งมีรูปภาพมากมายและเหมาะมากสำหรับการนำการศึกษาพระคัมภีร์. ถึงกระนั้น แนวความคิดบางอย่างก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้สำหรับชนพื้นบ้านทั่ว ๆ ไป. พวกเขาจะเข้าใจถึงตัวเลข 144,000 ที่มีบอกไว้ในพระธรรมวิวรณ์บทเจ็ดได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาคุ้นเคยแต่เหรียญ 25 หรือ 50 หรือมากที่สุดก็ 100 ฟรังค์? เพื่อนร่วมงานของผมมีความชำนาญในการใช้นิ้วมือของเขา และหากจำเป็นก็ใช้นิ้วเท้าด้วยเพื่อเอาชนะปัญหานี้. และในโอกาสอื่น ๆ เราจะใช้การวาดภาพบนทราย.
เรารู้สึกเศร้าจริง ๆ ที่ปัญหาทางสุขภาพทำให้เราต้องย้ายกลับไปยุโรป ตอนแรกก็ไปที่ลักเซมเบิร์ก และต่อมาก็ไปที่เยอรมนี. แต่น้ำใจมิชชันนารียังคงมีอยู่ในหัวใจของเราเสมอ และหลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ เราก็คิดถึงการย้ายไปรับใช้ในที่ซึ่งมีความต้องการมากกว่า นั่นคือที่สเปน.
หลังจากการเรียนภาษาใหม่อีกภาษาหนึ่ง เราได้รับสิทธิพิเศษในการรับใช้พี่น้องฝ่ายวิญญาณอีกครั้งฐานะผู้ดูแลหมวด และร่วมงานก่อสร้างบ้านพักเบเธลแห่งใหม่ใกล้กรุงมาดริด เป็นเวลาหนึ่งปี. นับเป็นความอิ่มใจพอใจมากที่สุดในขณะนี้สำหรับมักดาเลนากับผมที่ได้รับใช้พี่น้องในสเปน. ถึงแม้เราจะไม่มีกำลังแข็งแรงเหมือนก่อนก็ตาม ชีวิตของเราก็เปี่ยมด้วยความหมายเนื่องจากเรายังคงเรียนรู้และแบ่งปันสิ่งที่เราได้เรียนรู้แก่คนอื่นต่อ ๆ ไป.
เมื่อมองย้อนหลัง ผมสามารถพูดได้ว่าการที่ผมค้นหาความหมายของชีวิตนั้นได้รับบำเหน็จมากมายจริง ๆ. ผมได้ประสบว่า การมอบความไว้วางใจในตัวมนุษย์อย่างฮิตเลอร์เป็นความคิดที่ผิดถนัด และครั้นได้มารู้จักความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิล ผมก็ได้อุทิศตัวแด่พระเจ้า. เป็นความอิ่มใจพอใจจริง ๆ ที่ผมได้รับ! และเดี๋ยวนี้ผมรู้ว่าอนาคตของผมไม่จำเป็นต้องเหมือนกับนกขมิ้นที่ตายไปนั้น. ผมมีความหวังในชีวิตที่เปี่ยมด้วยความหมายซึ่งจะไม่มีวันถูกบั่นทอนลงเลย!—วิวรณ์ 21:1–4.
[รูปภาพของเกออร์กหน้า 13]
(ข้างบน คนถือธง)
[รูปภาพหน้า 14]
เกออร์กกับมักดาเลนา รอยเตอร์ ที่สเปน