การช่วยผู้คนให้เข้ามาใกล้พระยะโฮวา
“ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา.”—โยฮัน 14:6.
1. พระเยซูผู้คืนพระชนม์ทรงมีพระบัญชาอะไรแก่เหล่าสาวกของพระองค์ และผลเป็นเช่นไรขณะที่พยานพระยะโฮวาได้ปฏิบัติตามพระบัญชานั้น?
พระเยซูคริสต์ทรงมีพระบัญชาแก่เหล่าสาวกว่า “จง . . . ทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก ให้เขารับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (มัดธาย 28:19, ล.ม.) ในสิบปีที่ผ่านไปนี้ พยานพระยะโฮวาได้ช่วยคนมากกว่าสามล้านคนให้เข้ามาหาพระเจ้า และต่อมาก็ได้ให้รับบัพติสมาแก่พวกเขาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการอุทิศตัวของพวกเขาแด่พระองค์เพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. เรารู้สึกยินดีสักเพียงไรที่ได้ช่วยพวกเขาให้เข้ามาใกล้พระเจ้า!—ยาโกโบ 4:8.
2. แม้ว่ามีคนใหม่มากมายรับบัพติสมา แต่เกิดอะไรขึ้น?
2 อย่างไรก็ตาม ในบางประเทศซึ่งมีสาวกใหม่รับบัพติสมามากมาย จำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักรกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม. แน่นอน ต้องคิดหักลบคนที่เสียชีวิตด้วย ซึ่งอัตราตายในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์. ทว่า ในไม่กี่ปีมานี้มีจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่ได้ล้มพลาดไปด้วยเหตุผลบางประการ. เพราะเหตุใด? บทความนี้และบทความถัดไปจะตรวจสอบถึงวิธีที่ผู้คนได้รับการชักนำให้เข้ามาหาพระยะโฮวาและเหตุต่าง ๆ ที่อาจทำให้บางคนล้มพลาดไป.
จุดประสงค์ของการประกาศของเรา
3. (ก) งานมอบหมายที่ให้ไว้แก่สาวกของพระเยซูสอดคล้องกันอย่างไรกับงานมอบหมายที่ทูตสวรรค์ได้รับดังมีกล่าวถึงที่วิวรณ์ 14:6? (ข) อะไรปรากฏว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะกระตุ้นความสนใจของผู้คนในข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร แต่มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้?
3 ในช่วง “เวลาอวสาน” นี้ เหล่าสาวกของพระเยซูได้รับพระบัญชาให้เผยแผ่ “ความรู้แท้” เกี่ยวกับ “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้.” (ดานิเอล 12:4, ล.ม.; มัดธาย 24:14, ล.ม.) งานที่มอบหมายแก่พวกเขาสอดคล้องกับงานมอบหมายของทูตสวรรค์ที่ “มีข่าวดีนิรันดร์จะประกาศเป็นข่าวน่ายินดีแก่คนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก และแก่ทุกชาติและทุกตระกูล และทุกภาษาและทุกชนชาติ.” (วิวรณ์ 14:6, ล.ม.) ในโลกนี้ซึ่งผู้คนหมกมุ่นอยู่กับเรื่องทางโลก โดยทั่วไปแล้ววิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่จะทำให้ผู้คนสนใจในเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าและช่วยเขาให้เข้ามาใกล้พระยะโฮวาก็คือโดยบอกเขาเกี่ยวกับความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน. แม้ว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่คนที่สมทบกับไพร่พลของพระเจ้าโดยหวังจะได้เข้าสู่อุทยานเพียงอย่างเดียวนั้นย่างก้าวของเขาบนทางแคบที่นำไปสู่ชีวิตย่อมไม่มั่นคง.—มัดธาย 7:13, 14.
4. ตามคำกล่าวของพระเยซูและทูตสวรรค์ที่บินอยู่กลางฟ้าสวรรค์ อะไรคือจุดประสงค์ของงานประกาศที่เราทำ?
4 พระเยซูตรัสว่า “นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือพระเยซูคริสต์.” (โยฮัน 17:3, ล.ม.) ทูตสวรรค์ที่บินอยู่กลางฟ้าสวรรค์ประกาศ “ข่าวดีนิรันดร์” และแจ้งแก่คนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลกว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้าและถวายเกียรติแด่พระองค์ เพราะชั่วโมงแห่งการพิพากษาโดยพระองค์มาถึงแล้ว และจงนมัสการพระองค์ผู้ได้ทรงทำให้มีฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทะเลและน้ำพุทั้งหลาย.” (วิวรณ์ 14:7, ล.ม.) ด้วยเหตุนั้น จุดประสงค์สูงสุดของการประกาศข่าวดีที่เราทำคือเพื่อช่วยผู้คนให้เข้ามาใกล้พระยะโฮวาโดยทางพระคริสต์เยซู.
บทบาทของเราในงานของพระยะโฮวา
5. คำกล่าวอะไรของเปาโลและพระเยซูที่แสดงว่าเรากำลังทำงานของพระยะโฮวา ไม่ใช่งานของเรา?
5 อัครสาวกเปาโลเขียนถึงเพื่อนคริสเตียนผู้ถูกเจิมโดยกล่าวถึงการ “รับใช้ในการประกาศเรื่องการคืนดีกัน” และกล่าวว่าพระเจ้าทรงโปรดให้ผู้คนกลับคืนดีกับพระองค์โดยอาศัยเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูคริสต์. เปาโลกล่าวว่า “เหมือนหนึ่งพระเจ้าได้ทรงอ้อนวอนขอท่านทั้งหลายโดยเรา” และ “เราผู้แทนพระคริสต์จึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้คืนดีกันกับพระเจ้า.” ช่างเป็นความคิดที่น่าชื่นใจอะไรอย่างนี้! ไม่ว่าเราเป็น “ราชทูตของพระคริสต์” ที่ได้รับการเจิม หรือเป็นอุปทูตซึ่งมีความหวังทางแผ่นดินโลก เราไม่ควรลืมว่านี่เป็นงานของพระยะโฮวา ไม่ใช่งานของเรา. (2 โกรินโธ 5:18-20) จริง ๆ แล้วพระเจ้าต่างหากที่ทรงชักนำผู้คนและสอนคนเหล่านั้นที่เข้ามาหาพระคริสต์. พระเยซูตรัสดังนี้: “ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้เว้นแต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะชักนำเขา; และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย. มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์ว่า ‘และเขาทั้งหลายทุกคนจะได้รับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา.’ ทุกคนที่ได้ยินจากพระบิดา และได้เรียนรู้ก็มาหาเรา.”—โยฮัน 6:44, 45, ล.ม.
6. พระยะโฮวากำลังเขย่านานาชาติในขั้นต้นอย่างไร และในขณะเดียวกันใครกำลังประสบความปลอดภัยใน “พระนิเวศ” แห่งการนมัสการของพระองค์?
6 ในสมัยสุดท้ายนี้ พระยะโฮวาทรงชักนำผู้คนและเปิด “ประตูแห่งความเชื่อ” แก่พวกเขาอย่างไร? (กิจการ 14:27, ล.ม. เชิงอรรถ; 2 ติโมเธียว 3:1) วิธีหลักอย่างหนึ่งก็คือโดยให้เหล่าพยานของพระองค์ประกาศข่าวสารเกี่ยวกับความรอดและการพิพากษาระบบชั่วนี้. (ยะซายา 43:12; 61:1, 2) การประกาศไปทั่วโลกนี้กำลังเขย่านานาชาติจนสั่นหวั่นไหว เป็นสัญญาณเตือนถึงการพิพากษาทำลายล้างที่จะมีมาในไม่ช้านี้. ขณะเดียวกัน ผู้คนที่ “มีค่า” ในสายพระเนตรพระเจ้ากำลังถูกชักนำให้ออกจากระบบนี้และเข้ามาพบความมั่นคงปลอดภัยใน “นิเวศ” แห่งการนมัสการแท้ของพระองค์. โดยวิธีนี้ พระยะโฮวากำลังทำให้คำพยากรณ์ของพระองค์ซึ่งบันทึกโดยฮาฆีสำเร็จเป็นจริง ที่ว่า “เราจะเขย่าชาติทั้งปวง และสิ่งน่าปรารถนาแห่งชาติทั้งปวงจะต้องเข้ามา; และเราจะทำให้นิเวศนี้เต็มไปด้วยสง่าราศี.”—ฮาฆี 2:6, 7, ล.ม. เชิงอรรถ; วิวรณ์ 7:9, 15.
7. พระยะโฮวาทรงเปิดหัวใจของผู้คนและชักนำผู้คนอย่างไรให้เข้ามาหาพระองค์และพระบุตร?
7 พระยะโฮวาทรงเปิดหัวใจของคนเหล่านี้ที่เกรงกลัวพระเจ้า—“สิ่งดีที่สุดจากชาติทั้งปวง”—เพื่อพวกเขาจะได้ “สนใจในถ้อยคำที่กล่าว” โดยเหล่าพยานของพระองค์. (ฮาฆี 2:7, ฉบับแปลของสมาคมสิ่งพิมพ์ของชาวยิว; กิจการ 16:14) เช่นเดียวกับในศตวรรษแรก บางครั้งพระยะโฮวาทรงใช้พวกทูตสวรรค์ของพระองค์ให้นำทางพยานของพระองค์ไปพบผู้คนที่มีใจสุจริตซึ่งได้ร้องวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระองค์. (กิจการ 8:26-31) ขณะที่แต่ละคนเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดเตรียมอันยอดเยี่ยมที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อเขาโดยทางพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ พวกเขาถูกชักนำให้เข้ามาหาพระยะโฮวาโดยความรักของพระองค์. (1 โยฮัน 4:9, 10) ใช่แล้ว พระเจ้าทรงชักนำผู้คนให้เข้ามาหาพระองค์และพระบุตรโดยอาศัย “ความรักกรุณา” หรือ “ความรักภักดี” ของพระองค์.—ยิระมะยา 31:3, ล.ม. เชิงอรรถ.
พระยะโฮวาทรงชักนำผู้ใด?
8. ผู้คนชนิดใดที่พระยะโฮวาทรงชักนำ?
8 พระยะโฮวาทรงชักนำคนที่แสวงหาพระองค์ให้เข้ามาหาพระองค์และพระบุตร. (กิจการ 17:27) คนเหล่านี้รวมถึงผู้คนที่ “ร้องครางเพราะความชั่วลามกทั้งปวงที่กระทำ” กันในคริสต์ศาสนจักร และที่จริง ตลอดทั่วโลก. (ยะเอศเคล 9:4) พวกเขา “รู้สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของตน.” (มัดธาย 5:3, ล.ม.) แท้จริง พวกเขาเป็นคน “อ่อนน้อม [“ถ่อมตน,” เชิงอรรถ] ในแผ่นดินโลก” ซึ่งจะอาศัยอยู่ตลอดไปบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน.—ซะฟันยา 2:3, ล.ม.
9. พระยะโฮวาทรงเห็นได้อย่างไรว่าผู้คน “มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์” หรือไม่ และพระองค์ทรงชักนำคนเหล่านี้อย่างไร?
9 พระยะโฮวาทรงสามารถอ่านหัวใจของคนเรา. กษัตริย์ดาวิดตรัสแก่ราชบุตรซะโลโมว่า “พระยะโฮวาทรงตรวจพิจารณาหัวใจทุกคนและทรงสังเกตบรรดาแนวโน้มแห่งความคิด. ถ้าเจ้าแสวงหาพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าพบพระองค์.” (1 โครนิกา 28:9, ล.ม.) โดยอาศัยสภาพหัวใจและน้ำใจหรือเจตคติที่ครอบงำแต่ละคน พระยะโฮวาทรงสามารถเห็นว่าเขามีท่าทีอย่างไร จะตอบรับหรือไม่ต่อการจัดเตรียมของพระองค์เพื่อให้อภัยบาปและความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์ในระบบใหม่อันชอบธรรมของพระองค์. (2 เปโตร 3:13) โดยทางพระคำของพระองค์ซึ่งเหล่าพยานของพระองค์ประกาศและสอน พระยะโฮวาทรงชักนำ “คนทั้งหลายที่มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์” ให้เข้ามาหาพระองค์และพระบุตร และคนเหล่านี้ก็ “เข้ามาเป็นผู้เชื่อถือ.”—กิจการ 13:48, ล.ม.
10. อะไรแสดงว่าการที่พระยะโฮวาทรงชักนำเฉพาะบางคนนั้นไม่ได้เป็นการลิขิตชีวิตมนุษย์ไว้แต่แรก?
10 การที่พระยะโฮวาทรงชักนำเฉพาะบางคนเช่นนี้เป็นลักษณะหนึ่งของการที่พระเจ้าทรงลิขิตชีวิตมนุษย์ไว้แต่แรกไหม? ไม่ใช่เด็ดขาด! การที่พระเจ้าทรงชักนำผู้คนนั้นขึ้นอยู่กับความมุ่งมาดปรารถนาของเขาเอง. พระองค์ทรงนับถือเจตจำนงเสรีของเขา. พระยะโฮวาทรงตั้งทางเลือกไว้ต่อหน้าประชากรโลกในทุกวันนี้เหมือนกับที่ทรงตั้งไว้ต่อหน้าชนยิศราเอลเมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว เมื่อครั้งที่โมเซกล่าวว่า “วันนี้เราได้ตั้งชีวิตและความดี, กับความตายและความชั่วไว้ตรงหน้าเจ้าทั้งหลาย . . . วันนี้เราต้องอ้างสวรรค์และแผ่นดินมาให้เป็นพยานต่อหน้าเจ้าทั้งหลายว่า, เราได้ตั้งชีวิตและความตาย, กับความอวยพรและความแช่งไว้ตรงหน้าเจ้าทั้งหลาย; เหตุฉะนี้เจ้าทั้งหลายจะเลือกเอาข้างชีวิต, ตัวเจ้าและเผ่าพันธุ์ของเจ้าจะได้มีชีวิตจำเริญอยู่; เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้รักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, เพื่อฟังถ้อยคำของพระองค์, และนับถือ [“ติดสนิทกับ, ล.ม.] พระองค์, เพราะพระองค์เป็นชีวิตของเจ้า, เป็นผู้ทรงโปรดให้เจ้าทั้งหลายมีชีวิตยั่งยืนอยู่.”—พระบัญญัติ 30:15-20.
11. ชาวยิศราเอลต้องเลือกเอาชีวิตโดยวิธีใด?
11 พึงสังเกตว่าชนยิศราเอลต้องเลือกชีวิต ‘โดยรักพระยะโฮวา, ฟังถ้อยคำของพระองค์, และนับถือพระองค์.’ ตอนที่กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ไพร่พลแห่งยิศราเอลยังไม่ได้เข้ายึดครองแผ่นดินแห่งคำสัญญา. พวกเขาเตรียมพร้อมอยู่ ณ ที่ราบโมอาบเพื่อจะข้ามแม่น้ำยาระเดนและเข้าสู่แผ่นดินคะนาอัน. แม้ว่าเป็นธรรมดาที่พวกเขาย่อมจะเริ่มคิดถึงแผ่นดินที่ “ดี, กว้างขวาง, บริบูรณ์ด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง” ซึ่งตนจะได้รับในอีกไม่ช้า แต่ความฝันของพวกเขาจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อเขารักพระยะโฮวา, ฟังพระสุรเสียงของพระองค์, และติดสนิทอยู่กับพระองค์. (เอ็กโซโด 3:8) โมเซอธิบายเรื่องนี้ไว้ชัดเจนโดยกล่าวว่า “ถ้า เจ้าจะฟังพระบัญชาของพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า ซึ่งเราสั่งเจ้าวันนี้ ที่ให้รักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า ที่ให้ดำเนินในทางทั้งหลายของพระองค์ และที่ให้ปฏิบัติตามพระบัญชาและข้อกฎหมายและคำตัดสินความของพระองค์ แล้ว เจ้าจะมีชีวิตอยู่เป็นแน่ และจะทวีขึ้น และพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าจะอวยพรเจ้าเป็นแน่ในแผ่นดินที่เจ้าจะยึดครอง.”—พระบัญญัติ 30:16, ล.ม.
12. ตัวอย่างของชาวยิศราเอลควรสอนเราเช่นไรเกี่ยวกับงานประกาศและงานสั่งสอนของเรา?
12 ข้อความที่เพิ่งกล่าวไปน่าจะสอนอะไรบางอย่างแก่เราเกี่ยวกับงานประกาศและงานสอนของเราในเวลาอวสานนี้มิใช่หรือ? เราคิดเกี่ยวกับแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานซึ่งกำลังจะมีขึ้นและพูดเรื่องนี้ในงานรับใช้ของเรา. แต่ทั้งเราเองและคนที่เราช่วยเขาให้เข้ามาเป็นสาวกจะไม่เห็นความสำเร็จเป็นจริงของคำสัญญาถ้าเราหรือเขาเหล่านั้นรับใช้พระเจ้าด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัว. เช่นเดียวกับชาวยิศราเอล เราและคนที่เราสอนต้องเรียนที่จะ ‘รักพระยะโฮวา, ฟังถ้อยคำของพระองค์, และนับถือพระองค์.’ ถ้าเราจำข้อนี้ไว้ขณะทำงานรับใช้ของเรา เราก็จะทำงานด้วยกันจริง ๆ กับพระเจ้าในการชักนำผู้คนให้เข้ามาหาพระองค์.
ผู้ร่วมทำการกับพระเจ้า
13, 14. (ก) ตามใน 1 โกรินโธ 3:5-9 เราได้กลายมาเป็นผู้ร่วมทำการกับพระเจ้าอย่างไร? (ข) เกียรติยศสำหรับการเพิ่มทวีใด ๆ ต้องมอบให้แก่ผู้ใด และเพราะเหตุใด?
13 เปาโลให้ภาพเปรียบเทียบการทำงานร่วมกับพระเจ้าโดยกล่าวถึงการเพาะปลูกในไร่นา. ท่านเขียนว่า “อะโปโลคือผู้ใด? เปาโลคือผู้ใด? เขาเป็นผู้รับใช้มาแจ้งให้ท่านทั้งหลายเชื่อตามซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ทุกคน? ข้าพเจ้าได้ปลูกไว้, อะโปโลได้รดน้ำ แต่พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้เกิดผล. เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกก็ดี, คนที่รดน้ำก็ดี, ไม่เป็นคนสำคัญอะไร แต่พระเจ้าต่างหากซึ่งทรงโปรดให้เกิดผล. คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำก็อยู่จำพวกเดียวกัน, แต่ทุกคนก็จะได้บำเหน็จของตนเองตามการที่ตนได้กระทำไว้นั้น. เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ร่วมทำการด้วยกันกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า.”—1 โกรินโธ 3:5-9.
14 ในฐานะผู้ร่วมทำการกับพระเจ้า เราต้องปลูก “คำแห่งแผ่นดินพระเจ้า” อย่างซื่อสัตย์ไว้ในหัวใจของผู้คน แล้วรดน้ำในจุดที่มีการแสดงความสนใจให้เห็นด้วยการกลับเยี่ยมเยียนและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลโดยมีการเตรียมตัวที่ดี. ถ้าดินหรือหัวใจดี พระยะโฮวาก็จะทรงทำส่วนของพระองค์โดยทำให้เมล็ดแห่งความจริงของคัมภีร์ไบเบิลนั้นงอกงามขึ้นเป็นต้นพืชที่เกิดผล. (มัดธาย 13:19, 23) พระองค์จะทรงชักนำบุคคลผู้นั้นให้มาหาพระองค์และพระบุตร. ดังนั้น เมื่อวิเคราะห์ให้ถึงที่สุด การเพิ่มทวีใด ๆ ในจำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักรนั้นเนื่องมาจากการที่พระยะโฮวาทรงกระตุ้นหัวใจของผู้คน ทำให้เมล็ดแห่งความจริงงอกงามและชักนำคนเช่นนั้นให้เข้ามาหาพระองค์และพระบุตร.
งานก่อสร้างที่จะคงอยู่ต่อ ๆ ไป
15. เปาโลใช้ภาพเปรียบเทียบอะไรเพื่อแสดงวิธีที่เราช่วยผู้อื่นให้พัฒนาความเชื่อ?
15 ขณะที่ยินดีในการเพิ่มทวี เราต้องการอย่างจริงใจที่จะเห็นผู้คนรักพระยะโฮวา, ฟังพระสุรเสียงของพระองค์, และติดสนิทกับพระองค์ต่อ ๆ ไป. เรารู้สึกเศร้าใจเมื่อเห็นบางคนเย็นลงและล้มพลาดไป. เราจะทำอะไรได้ไหมเพื่อไม่ให้เป็นอย่างนี้? ในภาพเปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่ง เปาโลแสดงถึงวิธีที่เราสามารถช่วยผู้อื่นให้พัฒนาความเชื่อ. ท่านเขียนว่า “ผู้ใดจะวางรากชนิดอื่นอีกไม่ได้. นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์. และเขาจะเอาทองคำ, เงิน, หรือเพชรพลอย, หรือจะเอาไม้, หญ้าแห้ง, หรือฟางมาก่อขึ้นบนรากนั้น การของทุกคนก็จะได้ปรากฏแจ้ง. ด้วยว่าเวลาวันนั้นจะเห็นได้ชัดเจน. เหตุว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ และไฟนั้นจะได้ทดลองดูการของทุกคนว่าเป็นอย่างไร.”—1 โกรินโธ 3:11-13.
16. (ก) ภาพเปรียบเทียบทั้งสองที่เปาโลใช้แตกต่างกันอย่างไรในจุดประสงค์? (ข) งานก่อสร้างของเราอาจเกิดผลที่ไม่น่าพอใจและไม่ทนไฟได้อย่างไร?
16 ในภาพเปรียบเทียบของเปาโลเกี่ยวกับไร่นา การเจริญเติบโตขึ้นอยู่กับการเพาะปลูกด้วยความสำนึกในหน้าที่, การรดน้ำเป็นประจำ, และการอวยพระพรของพระเจ้า. ส่วนภาพเปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่งของท่านอัครสาวกเน้นถึงความรับผิดชอบของคริสเตียนผู้รับใช้ต่อสิ่งที่กลายมาเป็นงานก่อสร้างของเขา. เขาได้สร้างบนรากฐานที่มั่นคงและด้วยวัสดุที่มีคุณภาพไหม? เปาโลเตือนดังนี้: “ทุกคนจงระวังให้ดีว่าจะก่ออย่างไร.” (1 โกรินโธ 3:10) เมื่อได้กระตุ้นความสนใจของใครคนหนึ่งโดยบอกเขาเกี่ยวกับความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์ในอุทยาน เราสอนโดยเน้นเพียงความรู้พื้นฐานของพระคัมภีร์เท่านั้นแล้วก็เน้นเป็นพิเศษเกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์ไหม? การสอนของเรามีเฉพาะเท่านี้ไหม: ‘ถ้าคุณต้องการมีชีวิตตลอดไปในอุทยาน คุณต้องศึกษา, ไปประชุม, และเข้าร่วมในงานประกาศ’? หากเป็นอย่างนั้น เราไม่ได้สร้างความเชื่อของคนนั้นบนรากฐานที่มั่นคง และสิ่งที่เราสร้างอาจไม่ทนไฟแห่งการทดลองหรือไม่ทนนาน. การพยายามชักนำผู้คนให้เข้ามาหาพระยะโฮวาด้วยความหวังเรื่องชีวิตในอุทยานแลกกับการใช้เวลาไม่กี่ปีรับใช้พระองค์เป็นเหมือนกับการก่อสร้างด้วย “ไม้, หญ้าแห้ง, หรือฟาง.”
การเสริมสร้างความรักต่อพระเจ้าและพระคริสต์
17, 18. (ก) อะไรที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความเชื่อของคนเราจะทนนาน? (ข) เราจะช่วยใครสักคนได้อย่างไรให้มีพระคริสต์สถิตอยู่ในหัวใจของเขา?
17 เพื่อความเชื่อจะทนทาน ความเชื่อนั้นต้องตั้งบนฐานของสัมพันธภาพเป็นส่วนตัวกับพระยะโฮวาพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์. ในฐานะมนุษย์ไม่สมบูรณ์ เราอาจบรรลุถึงสัมพันธภาพที่เปี่ยมสันติสุขกับพระเจ้าได้ก็แต่โดยทางพระบุตรของพระองค์เท่านั้น. (โรม 5:10) พึงจำไว้ว่าพระเยซูตรัสดังนี้: “ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา.” เพื่อช่วยผู้อื่นสร้างความเชื่อ “ผู้ใดจะวางรากชนิดอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์.” นี่หมายรวมถึงสิ่งใด?—โยฮัน 14:6; 1 โกรินโธ 3:11.
18 การก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งพระคริสต์หมายถึงการสอนอย่างที่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจะพัฒนาความรักลึกซึ้งต่อพระเยซู โดยทางความรู้อันเต็มเปี่ยมเกี่ยวกับบทบาทของพระองค์ในฐานะพระผู้ไถ่, ประมุขของประชาคม, พระมหาปุโรหิตผู้เปี่ยมด้วยความรัก, และพระมหากษัตริย์ที่กำลังครองราชย์อยู่. (ดานิเอล 7:13, 14; มัดธาย 20:28; โกโลซาย 1:18-20; เฮ็บราย 4:14-16) การก่อร่างสร้างดังกล่าวหมายถึงการทำให้พระเยซูเป็นจริงสำหรับพวกเขาถึงขนาดที่เสมือนหนึ่งพระองค์สถิตอยู่ในหัวใจของเขา. คำอธิษฐานของเราเพื่อพวกเขาควรเป็นเหมือนคำวิงวอนของเปาโลเพื่อคริสเตียนในเมืองเอเฟโซ. ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงคำนับพระบิดา . . . ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ท่านทั้งหลาย . . . เพื่อพระคริสต์จะได้สถิตในใจของท่านทั้งหลายโดยความเชื่อเพื่อเมื่อท่านทั้งหลายได้วางรากลงมั่นคงแล้วในความรัก.”—เอเฟโซ 3:14-17.
19. ผลของการก่อร่างสร้างความรักต่อพระคริสต์ไว้ในหัวใจของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลของเราควรเป็นเช่นไร แต่ต้องสอนอะไรแก่เขา?
19 ถ้าเราก่อร่างสร้างอย่างที่ให้ความรักต่อพระคริสต์พัฒนาขึ้นในหัวใจของนักศึกษาของเรา ตามเหตุผลแล้วก็ย่อมยังผลเป็นการสร้างเสริมความรักต่อพระยะโฮวาพระเจ้า. ความรัก, ความรู้สึก, และความเห็นอกเห็นใจของพระเยซูเป็นภาพสะท้อนที่คมชัดแห่งคุณลักษณะของพระยะโฮวา. (มัดธาย 11:28-30; มาระโก 6:30-34; โยฮัน 15:13, 14; โกโลซาย 1:15; เฮ็บราย 1:3) ดังนั้น ขณะที่ผู้คนได้มารู้จักและรักพระเยซู พวกเขาก็จะรู้จักและรักพระยะโฮวา.a (1 โยฮัน 4:14, 16, 19) เราจำเป็นต้องสอนนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลว่าพระยะโฮวาทรงอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงทำเพื่อมนุษยชาติ และด้วยเหตุนั้นเราจึงมีพันธะที่จะขอบพระคุณ, สรรเสริญ, และนมัสการพระองค์ในฐานะ “พระเจ้าแห่งความรอดของพวกเรา.”—บทเพลงสรรเสริญ 68:19, 20; ยะซายา 12:2-5; โยฮัน 3:16; 5:19.
20. (ก) เราจะช่วยผู้คนได้อย่างไรให้เข้ามาใกล้พระเจ้าและพระบุตร? (ข) จะมีการพิจารณาอะไรในบทความถัดไป?
20 ในฐานะผู้ร่วมทำการกับพระเจ้า ให้เราช่วยผู้คนให้เข้ามาใกล้พระองค์และพระบุตรของพระองค์ ช่วยพวกเขาให้พัฒนาความรักและความเชื่อในหัวใจของตน. โดยวิธีนี้ พระยะโฮวาจะทรงเป็นจริงสำหรับพวกเขา. (โยฮัน 7:28) โดยทางพระคริสต์ พวกเขาจะสามารถสร้างสัมพันธภาพอันใกล้ชิดกับพระเจ้า และพวกเขาจะรักและติดสนิทอยู่กับพระองค์. พวกเขาจะไม่จำกัดเวลาเอาไว้ในการรับใช้ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากความรัก แสดงความเชื่อว่าคำสัญญาอันมหัศจรรย์ของพระยะโฮวาจะสำเร็จเป็นจริงในเวลากำหนดของพระองค์. (บทเพลงร้องทุกข์ของยิระมะยา 3:24-26; เฮ็บราย 11:6) แต่ขณะที่ช่วยผู้อื่นให้พัฒนาความเชื่อ, ความหวัง, และความรัก เราต้องเสริมสร้างความเชื่อของเราเองให้เป็นเหมือนเรือที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถฝ่าพายุที่รุนแรง. จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ในบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
a คู่มือที่ดีเยี่ยมในการเรียนรู้จักพระเยซูให้ดีขึ้น และโดยทางพระองค์ เรียนรู้จักพระยะโฮวาพระบิดาของพระองค์มากขึ้น ได้แก่หนังสือบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
เพื่อเป็นการทบทวน
▫ เรามักกระตุ้นความสนใจของผู้คนในข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรอย่างไร แต่อาจมีข้อเสียอะไรในเรื่องนี้?
▫ ผู้คนแบบไหนที่พระยะโฮวาทรงชักนำให้เข้ามาหาพระองค์และพระบุตร?
▫ การเข้าไปในแผ่นดินแห่งคำสัญญาของชาติยิศราเอลขึ้นอยู่กับอะไร และเราเรียนอะไรได้จากเรื่องนี้?
▫ เรามีบทบาทอะไรในการช่วยผู้คนให้เข้ามาใกล้พระยะโฮวาและพระบุตร?
[รูปภาพหน้า 10]
แม้ว่าเราเสนอความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์ในอุทยานแก่ผู้คน เป้าหมายหลักของเราคือเพื่อชักนำเขาให้เข้ามาหาพระยะโฮวา
[รูปภาพหน้า 13]
การกลับเยี่ยมเยียนของเราจะมีประสิทธิภาพมากถ้าเราเตรียมตัวอย่างดี