บทสิบสอง
คุณสามารถเอาชนะปัญหาที่ยังความเสียหายแก่ครอบครัวได้
1. มีปัญหาอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ในบางครอบครัว?
รถยนต์เก่าคันนั้นเพิ่งล้างและขัดเงาเสร็จ. สำหรับคนที่สัญจรไปมา รถยนต์คันนั้นดูเงาวับ เกือบจะเหมือนรถใหม่. แต่ภายใต้พื้นผิวรถนั้น สนิมที่กัดกร่อนกำลังกินตัวถังรถ. บางครอบครัวก็คล้ายกัน. ถึงแม้ทุกสิ่งที่ปรากฏภายนอกดูดี แต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มซ่อนความวิตกกลัวและความเจ็บปวดไว้. ภายในบ้าน มีสิ่งที่บ่อนทำลายสันติสุขในครอบครัว. ปัญหาสองประการที่อาจก่อผลกระทบเช่นนี้คือ การติดสุราและความรุนแรง.
ความเสียหายที่เกิดจากการติดสุรา
2. (ก) ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์คืออย่างไร? (ข) การติดสุราคืออะไร?
2 คัมภีร์ไบเบิลมิได้กล่าวโทษการใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างพอประมาณ ทว่าพระคัมภีร์กล่าวโทษการเมาเหล้า. (สุภาษิต 23:20, 21; 1 โกรินโธ 6:9, 10; 1 ติโมเธียว 5:23; ติโต 2:2, 3) อย่างไรก็ดี การติดสุราหนักยิ่งกว่าการเมาเหล้า เป็นการติดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แบบเรื้อรังและไม่สามารถควบคุมการบริโภคของเขา. คนที่ติดสุราอาจเป็นผู้ใหญ่ก็ได้. น่าเศร้า พวกเขาอาจเป็นหนุ่มสาวได้ด้วย.
3, 4. จงพรรณนาผลกระทบของการติดสุราที่มีต่อคู่ชีวิตของคนติดสุราและต่อลูก ๆ.
3 คัมภีร์ไบเบิลชี้แจงไว้นานมาแล้วว่า การใช้แอลกอฮอล์อย่างผิด ๆ อาจทำลายความสงบสุขในครอบครัวได้. (พระบัญญัติ 21:18-21) ทั้งครอบครัวจะได้รับผลกระทบที่กัดกร่อนของการติดสุรา. คู่สมรสอาจหมกมุ่นพยายามจะหยุดยั้งการดื่มของคนที่ติดสุราหรือที่จะรับมือกับพฤติกรรมของเขาซึ่งไม่อาจคาดการณ์ได้.a เธอพยายามซ่อนเหล้าไว้, โยนทิ้ง, ซ่อนเงินของเขา, และขอร้องให้แสดงความรักของเขาต่อครอบครัว, ต่อชีวิต, ต่อพระเจ้าด้วยซ้ำ—แต่คนที่ติดสุรายังคงดื่มต่อไป. ขณะที่ความพยายามของเธอที่จะควบคุมการดื่มของเขานั้นประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้สึกข้องขัดใจและรู้สึกว่าไร้ความสามารถ. เธออาจเริ่มทนทุกข์เนื่องจากความกลัว, ความโกรธ, ความรู้สึกผิด, ความหงุดหงิด, ความกระวนกระวาย, และการขาดความนับถือตัวเอง.
4 เด็ก ๆ หนีไม่พ้นผลกระทบจากการที่บิดาหรือมารดาติดสุรา. บางคนถูกทำร้ายร่างกาย. ส่วนคนอื่นถูกทำร้ายทางเพศ. เขาอาจถึงกับโทษตัวเองที่บิดาหรือมารดาติดสุราด้วยซ้ำ. บ่อยครั้ง ความสามารถของเขาที่จะวางใจคนอื่นถูกทำลายเนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่คงเส้นคงวาของบิดาหรือมารดาที่ติดสุรา. เนื่องจากไม่สามารถพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านได้อย่างสบายใจ เด็กอาจหัดที่จะเก็บกดความรู้สึกของตนไว้ บ่อยครั้งยังผลเป็นความเสียหายต่อร่างกาย. (สุภาษิต 17:22) เด็กเช่นนั้นอาจขาดความมั่นใจในตัวเอง หรือขาดความนับถือตัวเองแม้เมื่อเป็นผู้ใหญ่.
ครอบครัวอาจทำอะไรได้บ้าง?
5. จะจัดการกับการติดสุราได้โดยวิธีใด และทำไมเรื่องนี้จึงยาก?
5 ถึงแม้นักวิชาการหลายคนบอกว่าโรคพิษสุราเรื้อรังไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าการหายเป็นปกติในระดับหนึ่งเป็นไปได้โดยโครงการอดเหล้าอย่างเด็ดขาด. (เทียบกับมัดธาย 5:29.) อย่างไรก็ดี การทำให้ผู้ที่ติดสุรายอมรับความช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก เนื่องจากเขามักไม่ยอมรับว่าตนมีปัญหา. ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อสมาชิกในครอบครัวลงมือจัดการกับวิธีที่โรคพิษสุราเรื้อรังมีผลกระทบต่อพวกเขาแล้ว คนที่ติดสุราอาจเริ่มตระหนักว่าตัวเขามีปัญหา. แพทย์คนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ที่ติดสุราและครอบครัวของเขาบอกว่า “ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ให้ครอบครัวทำกิจวัตรประจำวันต่อไปในวิธีที่เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่พวกเขาทำได้. คนที่ติดสุราต้องสังเกตเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามีความแตกต่างกันมากเพียงไรระหว่างตัวเขากับคนอื่นในครอบครัว.”
6. อะไรเป็นแหล่งที่ดีที่สุดของคำแนะนำสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกติดสุรา?
6 หากมีคนที่ติดสุราอยู่ในครอบครัวของคุณ คำแนะนำที่มีขึ้นโดยการดลใจในคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยคุณในการดำเนินชีวิตในวิธีที่เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้. (ยะซายา 48:17; 2 ติโมเธียว 3:16, 17) จงพิจารณาหลักการบางอย่างที่ได้ช่วยครอบครัวต่าง ๆ ให้รับมืออย่างเป็นผลสำเร็จกับการติดสุรา.
7. หากสมาชิกในครอบครัวเป็นคนที่ติดสุรา ใครต้องรับผิดชอบ?
7 อย่ารับเอาคำตำหนิทั้งหมด. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ทุกคนต้องแบกภาระของตนเอง.” และ “เราทั้งหลายทุกคนต้องให้การด้วยตัวเองแก่พระเจ้า.” (ฆะลาเตีย 6:5; โรม 14:12) ผู้ที่ติดสุราอาจพยายามบอกเป็นนัยว่า สมาชิกในครอบครัวเป็นเหตุให้เขาเป็นอย่างนั้น. ตัวอย่างเช่น เขาอาจพูดว่า “หากพวกคุณปฏิบัติกับผมดีกว่านี้ ผมคงจะไม่ดื่ม.” หากคนอื่นแสดงออกมาว่าเห็นพ้องกับเขาแล้ว ก็เท่ากับส่งเสริมเขาให้ดื่มต่อไป. แต่ถึงแม้ว่าเราได้รับผลร้ายจากสภาพแวดล้อมหรือจากคนอื่น ๆ เราทุกคน—รวมทั้งคนที่ติดสุราด้วย—ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ.—เทียบกับฟิลิปปอย 2:12.
8. มีวิธีใดบ้างที่อาจช่วยคนที่ติดสุราให้เผชิญกับผลอันเกิดจากปัญหาของเขา?
8 อย่าคิดว่าคุณต้องปกป้องคนที่ติดสุราไว้จากผลที่เกิดขึ้นจากการดื่มของเขาเสมอไป. สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับคนที่บันดาลโทสะนั้นอาจนำมาใช้ได้เหมือนกันกับคนที่ติดสุราที่ว่า “ถ้าจะช่วยเขาก็จะต้องช่วยกันร่ำไป.” (สุภาษิต 19:19) ให้คนที่ติดสุรารู้สึกถึงผลจากการดื่มของเขา. ให้เขาทำความสะอาดสิ่งที่เขาทำเลอะเทอะไว้ หรือให้เขาโทรศัพท์บอกนายจ้างของเขาตอนเช้าหลังจากที่มีการดื่ม.
9, 10. ทำไมครอบครัวของคนที่ติดสุราควรยอมรับความช่วยเหลือ และเขาควรแสวงหาความช่วยเหลือจากใครโดยเฉพาะ?
9 ยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่น. สุภาษิต 17:17 (ล.ม.) บอกว่า “มิตรแท้ย่อมรักอยู่ทุกเวลา และเป็นพี่น้องซึ่งเกิดมาเพื่อยามที่มีความทุกข์ยาก.” เมื่อมีคนที่ติดสุราอยู่ในครอบครัวของคุณ ย่อมมีความทุกข์ยาก. คุณจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ. อย่าลังเลที่จะหมายพึ่ง “มิตรแท้” เพื่อได้การหนุนใจ. (สุภาษิต 18:24) การพูดคุยกับคนอื่นซึ่งเข้าใจปัญหาหรือเป็นผู้ที่เคยเผชิญสภาพการณ์คล้ายกันอาจทำให้คุณได้ข้อแนะที่ใช้ได้ผลจริงในเรื่องสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ. แต่จงเป็นคนสมดุล. จงพูดกับคนที่คุณไว้วางใจ คนที่จะไม่แพร่งพราย “สิ่งที่ได้พูดคุยแบบไว้เนื้อเชื่อใจกัน” ของคุณ.—สุภาษิต 11:13, ล.ม.
10 เรียนรู้ที่จะวางใจคริสเตียนผู้ปกครอง. ผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียนอาจเป็นแหล่งสำคัญของความช่วยเหลือ. ชายผู้อาวุโสเหล่านี้มีความรู้ในพระคำของพระเจ้าและมีประสบการณ์ในการนำหลักการของพระคัมภีร์มาใช้. พวกเขาอาจปรากฏว่าเป็น “เหมือนที่หลบซ่อนให้พ้นลมและที่กำบังให้พ้นพายุฝน เหมือนสายธารในประเทศที่แล้งน้ำ เหมือนร่มเงาแห่งหินผาใหญ่ในแดนกันดาร.” (ยะซายา 32:2, ล.ม.) คริสเตียนผู้ปกครองไม่เพียงแต่ป้องกันประชาคมในฐานะเป็นกลุ่มไว้จากอิทธิพลที่เป็นอันตรายเท่านั้น แต่พวกเขายังปลอบประโลม, ให้ความสดชื่น, และมีความสนใจเป็นส่วนตัวต่อปัจเจกบุคคลซึ่งมีปัญหาด้วย. จงรับประโยชน์เต็มที่จากความช่วยเหลือของเขา.
11, 12. ใครจัดเตรียมความช่วยเหลือสำคัญที่สุดสำหรับครอบครัวของคนที่ติดสุรา และมีการให้การเกื้อหนุนเช่นนั้นโดยวิธีใด?
11 สำคัญที่สุด จงรับเอากำลังจากพระยะโฮวา. คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราอย่างอบอุ่นว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้ผู้ที่มีใจชอกช้ำ, และคนที่มีใจสุภาพ [“หมดกำลังใจ,” ล.ม.] พระองค์จะทรงช่วยให้รอด.” (บทเพลงสรรเสริญ 34:18) หากคุณรู้สึกชอกช้ำใจหรือหมดกำลังใจเนื่องจากความกดดันในการอยู่กับสมาชิกครอบครัวที่ติดสุราแล้ว ขอให้รู้ว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้.” พระองค์ทรงเข้าใจว่าสภาพการณ์ในครอบครัวของคุณลำบากสักเพียงไร.—1 เปโตร 5:6, 7.
12 การเชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสในพระคำของพระองค์สามารถช่วยคุณให้รับมือกับความกระวนกระวายได้. (บทเพลงสรรเสริญ 130:3, 4; มัดธาย 6:25-34; 1 โยฮัน 3:19, 20) การศึกษาพระคำของพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามหลักการในพระคำนั้นทำให้คุณสามารถได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งสามารถให้คุณมี “กำลังที่เกินกว่ากำลังปกติ” เพื่อรับมือวันต่อวัน.—2 โกรินโธ 4:7, ล.ม.b
13. ปัญหาประการที่สองซึ่งยังความเสียหายแก่หลายครอบครัวนั้นคืออะไร?
13 การใช้แอลกอฮอล์ในทางผิดอาจนำไปสู่ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ยังความเสียหายแก่หลายครอบครัว นั่นคือ ความรุนแรงภายในครอบครัว.
ความเสียหายที่เกิดจากความรุนแรงภายในครอบครัว
14. ความรุนแรงภายในครอบครัวเริ่มขึ้นเมื่อไร และสถานการณ์ในทุกวันนี้เป็นเช่นไร?
14 การกระทำที่รุนแรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เป็นเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับสองพี่น้องคือ คายินและเฮเบล. (เยเนซิศ 4:8) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษยชาติถูกก่อกวนด้วยความรุนแรงในครอบครัวทุกรูปแบบ. มีสามีซึ่งทุบตีภรรยา, ภรรยาเล่นงานสามี, บิดามารดาตีลูกเล็ก ๆ ของตนอย่างทารุณ, และลูกที่โตแล้วประทุษร้ายบิดามารดาผู้สูงอายุ.
15. สมาชิกในครอบครัวได้รับผลกระทบด้านอารมณ์อย่างไรจากความรุนแรงภายในครอบครัว?
15 ความเสียหายที่เกิดจากความรุนแรงภายในครอบครัวมีมากยิ่งกว่าแผลเป็นทางร่างกายทีเดียว. ภรรยาคนหนึ่งที่ถูกทุบตีบอกว่า “เราต้องรับมือกับความรู้สึกผิดและความอับอายเป็นอันมาก. แทบทุกเช้า เราอยากจะนอนต่อไป หวังแต่ว่านั่นเป็นฝันร้ายเท่านั้น.” เด็ก ๆ ซึ่งเห็นหรือประสบความรุนแรงภายในครอบครัวอาจเป็นคนรุนแรงเมื่อเขาเติบโตขึ้นและเมื่อมีครอบครัวของตัวเอง.
16, 17. การทำร้ายทางด้านอารมณ์คืออะไร และสมาชิกในครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างไรจากเรื่องนี้?
16 ความรุนแรงภายในครอบครัวไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำร้ายร่างกาย. บ่อยครั้งเป็นการประทุษร้ายทางวาจา. สุภาษิต 12:18 บอกว่า “คำพูดพล่อย ๆ ของคนบางจำพวกเหมือนการแทงของกระบี่.” “การแทง” เหล่านี้ซึ่งส่อลักษณะความรุนแรงภายในครอบครัวรวมถึงการด่าตะคอก, อีกทั้งการตำหนิวิจารณ์อยู่รำไป, การว่าเสีย ๆ หาย ๆ, และการข่มขู่ว่าจะใช้กำลังอย่างรุนแรง. บาดแผลจากความรุนแรงด้านอารมณ์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและคนอื่นมักไม่สังเกต.
17 ที่น่าเศร้าอย่างยิ่งคือการทำร้ายเด็กทางด้านอารมณ์—นั่นคือการเอาแต่ติว่าและดูถูกความสามารถ, เชาวน์ปัญญา, หรือคุณค่าของความเป็นคนของเด็ก. การสบประมาทด้วยวาจาเช่นนั้นอาจทำลายกำลังใจของเด็ก. จริงอยู่ เด็กทุกคนจำเป็นต้องได้รับการตีสอน. แต่คัมภีร์ไบเบิลสั่งผู้เป็นบิดาว่า “อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ, เกรงว่าเขาจะท้อใจ.”—โกโลซาย 3:21.
วิธีหลีกเลี่ยงความรุนแรงภายในครอบครัว
18. ความรุนแรงภายในครอบครัวเริ่มต้นที่ไหน และคัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าอะไรเป็นวิธีหยุดยั้งการทำเช่นนั้น?
18 ความรุนแรงภายในครอบครัวเริ่มต้นในหัวใจและจิตใจ วิธีที่เราปฏิบัติเริ่มต้นกับวิธีที่เราคิด. (ยาโกโบ 1:14, 15) เพื่อยุติความรุนแรง ผู้ประทุษร้ายต้องเปลี่ยนแนวความคิดของเขา. (โรม 12:2) นั่นเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้. พระคำของพระเจ้ามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงผู้คน. พระคำนั้นสามารถถอนรากถอนโคนทัศนะที่ก่อให้เกิดความเสียหาย “ที่ฝังรากลึก” ด้วยซ้ำ. (2 โกรินโธ 10:4, ล.ม.; เฮ็บราย 4:12) ความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในตัวผู้คนจนกล่าวได้ว่าเขาสวมบุคลิกภาพใหม่.—เอเฟโซ 4:22-24; โกโลซาย 3:8-10.
19. คริสเตียนควรมีทัศนะและปฏิบัติต่อคู่สมรสอย่างไร?
19 ทัศนะต่อคู่สมรส. พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า “สามีควรจะรักภรรยาของตนเหมือนรักกายของตนเองด้วย. ผู้ที่รักภรรยาของตนเองก็รักตัวเอง.” (เอเฟโซ 5:28) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวด้วยว่า สามีควรให้ “เกียรติยศแก่ภรรยาเหมือนหนึ่งเป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่า.” (1 เปโตร 3:7) ภรรยาได้รับการเตือนสอนให้ “รักสามี” และให้มี “ความนับถืออย่างสุดซึ้ง” ต่อสามี. (ติโต 2:4; เอเฟโซ 5:33, ล.ม.) แน่นอน ไม่มีสามีที่เกรงกลัวพระเจ้าคนใดจะพูดได้ด้วยความสัตย์ว่า เขาให้เกียรติภรรยาจริง ๆ หากเขาประทุษร้ายเธอทางกายหรือทางวาจา. และไม่มีภรรยาคนใดซึ่งตะเบ็งเสียงใส่สามี, เรียกเขาโดยใช้คำกระทบกระเทียบ, หรือดุด่าเขาอยู่เรื่อย จะพูดได้ว่าเธอรักและนับถือเขาอย่างแท้จริง.
20. บิดามารดารับผิดชอบต่อผู้ใดในเรื่องลูก ๆ ของตน และทำไมบิดามารดาไม่ควรคาดหมายจากลูก ๆ อย่างที่ไม่ตรงกับสภาพจริง?
20 ทัศนะที่ถูกต้องต่อบุตร. บุตรไม่เพียงแต่สมควร แท้จริง จำเป็นต้องได้รับความรักและความเอาใจใส่จากบิดามารดาของเขา. พระคำของพระเจ้าเรียกบุตรว่า “มรดกจากพระยะโฮวา” และ “รางวัล.” (บทเพลงสรรเสริญ 127:3, ล.ม.) บิดามารดามีหน้าที่รับผิดชอบจำเพาะพระยะโฮวาที่จะเอาใจใส่ดูแลมรดกนั้น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึง “ธรรมเนียม [“ลักษณะนิสัย,” ล.ม.] อย่างเด็ก” และ “ความโฉดเขลา” ของวัยเด็ก. (1 โกรินโธ 13:11; สุภาษิต 22:15) บิดามารดาไม่ควรประหลาดใจหากเขาพบความโฉดเขลาในตัวบุตร. เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่. บิดามารดาไม่ควรเรียกร้องเกินกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับวัยของเด็ก, พื้นเพของครอบครัว, และความสามารถของเด็ก.—ดูเยเนซิศ 33:12-14.
21. ผู้เลื่อมใสในพระเจ้ามองดูบิดามารดาผู้สูงอายุและปฏิบัติกับท่านอย่างไร?
21 ทัศนะต่อบิดามารดาผู้สูงอายุ. เลวีติโก 19:32 บอกว่า “จงคำนับคนผมหงอกและนับถือคนแก่.” ฉะนั้น พระบัญญัติของพระเจ้าส่งเสริมความนับถือและการคำนึงถึงอย่างสูงส่งต่อผู้สูงอายุ. นี่อาจเป็นการท้าทายเมื่อบิดามารดาที่สูงอายุดูเหมือนว่าเรียกร้องจนเกินไปหรือป่วยและบางทีเคลื่อนไหวหรือคิดอย่างเชื่องช้า. กระนั้น ลูก ๆ ได้รับการเตือนให้ “ทดแทนบุญคุณบิดามารดา . . . เสมอ.” (1 ติโมเธียว 5:4, ล.ม.) ทั้งนี้หมายถึงการปฏิบัติกับท่านอย่างมีศักดิ์ศรีและด้วยความนับถือ บางทีถึงกับจัดหาให้ท่านทางด้านการเงินด้วยซ้ำ. การปฏิบัติอย่างโหดร้ายกับบิดามารดาผู้สูงอายุทางด้านร่างกายหรือด้านอื่น ๆ ขัดกันโดยสิ้นเชิงกับแนวทางที่คัมภีร์ไบเบิลสั่งให้เราปฏิบัติ.
22. คุณลักษณะสำคัญในการเอาชนะความรุนแรงภายในครอบครัวคืออะไร และจะสำแดงคุณลักษณะนั้นได้อย่างไร?
22 จงปลูกฝังการรู้จักบังคับตน. สุภาษิต 29:11 (ล.ม.) กล่าวว่า “คนโฉดเขลาปล่อยอารมณ์ออกมาหมด แต่ผู้ที่ฉลาดจะระงับอารมณ์จนถึงที่สุด.” คุณจะควบคุมอารมณ์ได้อย่างไร? แทนที่จะปล่อยให้ความข้องขัดใจก่อตัวขึ้นภายใน จงลงมือจัดการอย่างฉับไวที่จะยุติความยุ่งยากที่เกิดขึ้น. (เอเฟโซ 4:26, 27) ออกไปจากที่ที่เกิดเหตุหากคุณรู้สึกตัวว่าการควบคุมอารมณ์กำลังจะหมดไป. จงอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้การรู้จักบังคับตนเกิดขึ้นในตัวคุณ. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) การไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายบ้างอาจช่วยคุณควบคุมอารมณ์ได้. (สุภาษิต 17:14, 27) พยายามที่จะ “โกรธช้า.”—สุภาษิต 14:29, ฉบับแปลใหม่.
จะแยกกันอยู่หรือว่าจะอยู่ด้วยกันต่อไป?
23. อาจเกิดอะไรขึ้นหากสมาชิกในประชาคมคริสเตียนยอมจำนนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่กลับใจจากการบันดาลโทสะ บางทีรวมเอาการทำร้ายร่างกายต่อครอบครัวของเขาด้วย?
23 คัมภีร์ไบเบิลจัด “การเป็นศัตรูกัน, การวิวาทกัน, . . . การโกรธกัน” อยู่ในบรรดาการที่พระเจ้าแถลงว่าผิดและแจ้งว่า “คนเหล่านั้นที่กระทำการเช่นนั้นจะรับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้.” (ฆะลาเตีย 5:19-21) เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนซึ่งยอมจำนนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่กลับใจจากการบันดาลโทสะอย่างรุนแรง บางทีรวมทั้งการทำร้ายร่างกายคู่สมรสหรือลูก อาจถูกตัดสัมพันธ์จากประชาคมคริสเตียน. (เทียบกับ 2 โยฮัน 9, 10.) โดยวิธีนี้ ประชาคมได้รับการรักษาไว้ให้สะอาดปราศจากผู้ที่กระทำทารุณ.—1 โกรินโธ 5:6, 7; ฆะลาเตีย 5:9.
24. (ก) คู่สมรสที่ถูกทำร้ายอาจเลือกปฏิบัติอย่างไร? (ข) เพื่อน ๆ และผู้ปกครองที่ห่วงใยอาจเกื้อหนุนฝ่ายที่ถูกทำร้ายได้อย่างไร แต่พวกเขาไม่ควรทำอะไร?
24 จะว่าอย่างไรกับคริสเตียนซึ่งตอนนี้ถูกคู่สมรสที่กระทำทารุณนั้นทุบตีซึ่งไม่แสดงท่าทีว่าจะเปลี่ยนแปลงเลย? บางคนเลือกที่จะอยู่กินต่อไปกับคู่สมรสที่กระทำทารุณนั้นด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง. ส่วนคนอื่นตัดสินใจเลือกที่จะจากไป เพราะรู้สึกว่าสุขภาพด้านร่างกาย, จิตใจ, และด้านวิญญาณ—บางทีกระทั่งชีวิตของเขาด้วยซ้ำ—อยู่ในอันตราย. สิ่งที่ผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงภายในครอบครัวเลือกจะทำในสภาพการณ์เหล่านี้เป็นการตัดสินใจส่วนตัวจำเพาะพระยะโฮวา. (1 โกรินโธ 7:10, 11) มิตรสหาย, ญาติพี่น้อง, หรือคริสเตียนผู้ปกครองที่ปรารถนาดีอาจอยากจะเสนอความช่วยเหลือและให้คำแนะนำ ทว่าเขาไม่ควรบีบคั้นผู้ตกเป็นเหยื่อให้ลงมือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ. นั่นเป็นการตัดสินใจที่เขาเองต้องทำ.—โรม 14:4; ฆะลาเตีย 6:5.
จุดจบสำหรับปัญหาที่ยังความเสียหาย
25. พระประสงค์ของพระยะโฮวาสำหรับครอบครัวคืออะไร?
25 เมื่อพระยะโฮวาทรงนำอาดามและฮาวาให้อยู่ร่วมกันในการสมรสนั้น พระองค์ไม่เคยประสงค์ที่จะให้ครอบครัวถูกกัดกร่อนเนื่องจากปัญหาที่ยังความเสียหาย เช่น การติดสุราหรือความรุนแรง. (เอเฟโซ 3:14, 15) ครอบครัวควรเป็นสถานที่ซึ่งความรักและสันติสุขจะเฟื่องฟูและสมาชิกแต่ละคนจะได้รับการเอาใจใส่ดูแลความจำเป็นด้านจิตใจ, ด้านอารมณ์, และด้านวิญญาณ. อย่างไรก็ดี เมื่อเริ่มมีบาป ชีวิตครอบครัวจึงเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว.—เทียบกับท่านผู้ประกาศ 8:9.
26. มีอนาคตอะไรรออยู่สำหรับคนเหล่านั้นซึ่งพยายามจะดำเนินชีวิตประสานกับข้อเรียกร้องของพระยะโฮวา?
26 น่ายินดี พระยะโฮวาไม่ได้ล้มเลิกพระประสงค์ของพระองค์สำหรับครอบครัว. พระองค์ทรงสัญญาจะนำมาซึ่งโลกใหม่ที่สงบสุขซึ่งผู้คน “จะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีผู้ใดกระทำให้เขากลัว.” (ยะเอศเคล 34:28, ฉบับแปลใหม่) ในตอนนั้น การติดสุรา, ความรุนแรงภายในครอบครัว, และปัญหาอื่น ๆ ทั้งหมดที่ยังความเสียหายแก่ครอบครัวในทุกวันนี้จะเป็นเหตุการณ์ในอดีต. ผู้คนจะยิ้มแย้ม ไม่ใช่ซ่อนความวิตกกลัวและความเจ็บปวดไว้ แต่เพราะเขาประสบความ “ชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:11.
a ถึงแม้เรากล่าวถึงคนติดสุราว่าเป็นผู้ชาย หลักการต่าง ๆ ในที่นี้นำมาใช้เหมือนกันเมื่อคนติดสุราเป็นผู้หญิง.
b ในบางประเทศ มีศูนย์รักษา, โรงพยาบาล, และโครงการฟื้นฟูสุขภาพซึ่งเชี่ยวชาญในการช่วยคนติดสุราและครอบครัวของเขา. จะแสวงหาความช่วยเหลือเช่นนั้นหรือไม่เป็นการตัดสินใจเฉพาะตัว. สมาคมว็อชเทาเวอร์ไม่ได้สนับสนุนวิธีการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ. อย่างไรก็ตาม ต้องระวัง เพื่อว่าในการแสวงหาความช่วยเหลือนั้น คนเราจะไม่เข้าไปพัวพันในกิจกรรมที่อะลุ่มอล่วยหลักการของพระคัมภีร์.