บทความศึกษา 30
เพลง 97 ชีวิตอยู่ได้ด้วยคำสอนของพระเจ้า
คุณยังได้บทเรียนจากคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลไหม?
“ผมจึงคอยเตือนพวกคุณอยู่เรื่อย ๆ ไม่ให้ลืมเรื่องเหล่านี้ ถึงแม้พวกคุณรู้อยู่แล้วและมั่นคงในความจริง”—2 ปต. 1:12
จุดสำคัญ
วิธีเอาบทเรียนจากคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้แม้คุณจะคุ้นเคยกับคำสอนเหล่านั้นมานานหลายปีแล้ว
1. ตอนที่คุณเรียนคัมภีร์ไบเบิลใหม่ ๆ คำสอนในคัมภีร์ไบเบิลส่งผลกับคุณยังไง?
เมื่อเราได้เรียนคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล ชีวิตของเราก็เปลี่ยนไป เช่น เมื่อเรารู้ว่าพระเจ้ามีชื่อว่าพระยะโฮวา นั่นก็เป็นก้าวแรกที่ทำให้เราได้เป็นเพื่อนกับพระองค์ (อสย. 42:8) เมื่อเราได้เรียนว่าจริง ๆ แล้วสภาพของคนตายเป็นยังไง เราก็ไม่กลัวอีกต่อไปว่าคนที่เรารักที่ตายไปจะต้องไปทรมานที่ไหน (ปญจ. 9:10) และเมื่อเราได้รู้คำสัญญาของพระเจ้าเรื่องอุทยานบนโลก มันก็ทำให้เราไม่กังวลเกี่ยวกับอนาคตอีกต่อไป เรามั่นใจว่าเราจะไม่ได้อยู่แค่ 70-80 ปีเท่านั้น แต่เราจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป—สด. 37:29; 90:10
2. ที่ 2 เปโตร 1:12, 13 ทำให้เห็นยังไงว่าแม้แต่คริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ก็ยังคงได้ประโยชน์จากคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล?
2 เราต้องไม่ลืมว่าคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลสำคัญขนาดไหนสำหรับเรา ในจดหมายฉบับที่ 2 ของเปโตร เขาเขียนถึงคริสเตียนที่ “มั่นคงในความจริง” อยู่แล้ว (อ่าน 2 เปโตร 1:12, 13) แต่ตอนนั้นมีผู้สอนเท็จอยู่ในประชาคม คนเหล่านี้อยากให้พี่น้องทิ้งความเชื่อ (2 ปต. 2:1-3) เปโตรอยากช่วยให้พี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็งเพื่อจะต้านทานคนเหล่านั้นได้ เขาก็เลยกระตุ้นให้พี่น้องคิดถึงคำสอนบางอย่างที่พวกเขาได้เรียนมาแล้ว ซึ่งเป็นคำสอนที่จะช่วยให้พวกเขายังคงซื่อสัตย์จนถึงที่สุด
3. ทำไมคริสเตียนทุกคนควรจะคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลต่อ ๆ ไป? ขอยกตัวอย่าง
3 ถึงเราจะรับใช้พระยะโฮวามานานแล้ว แต่เราก็ยังได้บทเรียนใหม่ ๆ จากคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล ขอนึกถึงตัวอย่างนี้ เชฟที่เก่งกับคนที่เพิ่งหัดทำกับข้าวใหม่ ๆ อาจใช้วัตถุดิบพื้นฐานในการทำอาหารเหมือนกัน แต่เชฟที่มีประสบการณ์จะรู้ว่าควรใช้วัตถุดิบพื้นฐานแต่ละอย่างยังไงถึงจะทำให้อาหารอร่อยขึ้น และเขาอาจใช้มันทำเมนูใหม่ ๆ ออกมาด้วย คล้ายกัน คนที่รับใช้พระยะโฮวามานานกับคนที่เพิ่งศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอาจมีมุมมองต่อคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลต่างกัน เพราะหลังจากที่รับบัพติศมาแล้วสภาพการณ์ของเราหรือสิทธิพิเศษในการรับใช้ก็อาจต่างจากตอนที่เราเพิ่งรับบัพติศมาใหม่ ๆ และพอเราเอาคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้กับสภาพการณ์ของเราในปัจจุบัน เราก็จะค้นพบแง่มุมและบทเรียนใหม่ ๆ ที่เราเอามาใช้ได้ ให้เรามาดูกันว่าคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่และรับใช้พระยะโฮวามานานจะได้บทเรียนอะไรจากคำสอนพื้นฐาน 3 เรื่องในคัมภีร์ไบเบิล
พระยะโฮวาเป็นผู้สร้าง
4. การรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นผู้สร้างมีผลกับเรายังไง?
4 “ผู้ที่สร้างทุกสิ่งก็คือพระเจ้า” (ฮบ. 3:4) เรารู้ว่าพระยะโฮวาสร้างโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก พระองค์เป็นผู้สร้างที่มีสติปัญญาและมีพลังอำนาจมาก เนื่องจากพระองค์สร้างเรา พระองค์ก็เลยรู้จักเราดี และไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังรักและเป็นห่วงเรามากด้วย พระองค์รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา การรู้ความจริงพื้นฐานในเรื่องนี้ที่ว่าพระยะโฮวาเป็นผู้สร้างมีผลกับชีวิตของเรามากเพราะมันทำให้ชีวิตเรามีจุดมุ่งหมาย
5. ความจริงเรื่องอะไรช่วยให้เราเป็นคนถ่อมได้? (อิสยาห์ 45:9-12)
5 การรู้ความจริงว่าพระยะโฮวาเป็นผู้สร้างสอนบทเรียนเราในเรื่องความถ่อม เช่น ช่วงหนึ่งโยบมีความคิดที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพระยะโฮวา เขาลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคืออะไร เขาคิดถึงตัวเองมากเกินไปและคิดแต่จะพิสูจน์ว่าตัวเองถูกต้อง พระยะโฮวาก็เลยเตือนเขาว่าพระองค์เป็นผู้สร้างที่มีพลังอำนาจสูงสุด (โยบ 38:1-4) นี่ช่วยให้โยบเห็นว่าความคิดของพระยะโฮวาเหนือกว่าความคิดของมนุษย์มาก ต่อมาผู้พยากรณ์อิสยาห์เขียนสิ่งที่สอดคล้องกับเรื่องนี้ไว้ว่า “ดินเหนียวจะพูดกับช่างปั้นหม้อไหมว่า ‘นี่คุณกำลังปั้นอะไรอยู่?’”—อ่านอิสยาห์ 45:9-12
6. ตอนไหนที่เราควรจะคิดว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าผู้สร้างที่เหนือกว่าเรา? (ดูภาพด้วย)
6 คนที่รับใช้พระยะโฮวามานานอาจเริ่มพึ่งความคิดของตัวเองแทนที่จะพึ่งพระยะโฮวาและคัมภีร์ไบเบิล (โยบ 37:23, 24) แต่ถ้าเขาได้คิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสติปัญญาและความยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวาล่ะ? (อสย. 40:22; 55:8, 9) การคิดถึงความจริงในเรื่องนี้จะช่วยให้เขาเป็นคนถ่อมและยอมรับว่าความคิดของพระยะโฮวาเหนือกว่าความคิดของเขามาก
อะไรจะช่วยให้เราจำไว้ว่าความคิดของพระยะโฮวาสำคัญกว่าความคิดของเรา? (ดูข้อ 6)d
7. ราเฮล่าทำอะไรเพื่อช่วยให้เธอยอมรับการปรับเปลี่ยน?
7 พี่น้องหญิงที่ชื่อราเฮล่าซึ่งอยู่ที่สโลวีเนียรู้สึกว่าการคิดถึงพระยะโฮวาในฐานะผู้สร้างช่วยให้เธอยอมรับการปรับเปลี่ยนต่าง ๆ ในองค์การได้ เธอเล่าว่า “บางครั้งมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะยอมรับการตัดสินใจของพี่น้องที่นำหน้าในองค์การ ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ฉันได้ดูรายงานจากคณะกรรมการปกครองปี 2023 ตอน 8 แล้ว แต่พอได้เห็นพี่น้องชายที่บรรยายบนเวทีไว้หนวดไว้เครา ฉันก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี ฉันเลยอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยให้ฉันรับการปรับเปลี่ยนนี้ได้” ราเฮล่ารู้ว่าเนื่องจากพระยะโฮวาเป็นผู้สร้าง ดังนั้น พระองค์เลยรู้วิธีที่ดีที่สุดที่จะชี้นำองค์การของพระองค์ ถ้าคุณรู้สึกว่ายากที่จะยอมรับการปรับเปลี่ยนความเข้าใจใหม่หรือการชี้นำใหม่ ให้คุณคิดใคร่ครวญว่าพระยะโฮวาผู้สร้างของเรามีสติปัญญาและพลังอำนาจมากขนาดไหน—รม. 11:33-36
เหตุผลที่พระเจ้ายอมให้มีความทุกข์
8. การได้รู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงยอมให้มีความทุกข์เป็นประโยชน์กับเรายังไง?
8 ทำไมพระเจ้าถึงยอมให้มีความทุกข์? คนที่ไม่รู้คำตอบอาจรู้สึกโกรธพระเจ้าและคิดว่าพระองค์ไม่มีอยู่จริง (สภษ. 19:3) แต่คุณได้เรียนรู้ว่าบาปและความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้เกิดความทุกข์ ไม่ใช่พระยะโฮวา นอกจากนั้น คุณยังได้เรียนว่าการที่พระยะโฮวาอดทนทำให้มนุษย์หลายล้านคนมีโอกาสได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์และเรียนรู้ว่าพระองค์จะทำให้ความทุกข์หมดไปอย่างถาวรได้ยังไง (2 ปต. 3:9, 15) การรู้ความจริงเหล่านี้ทำให้คุณได้กำลังใจและใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น
9. ตอนไหนที่เราควรคิดถึงเหตุผลที่พระยะโฮวายอมให้มีความทุกข์?
9 เรารู้ว่าเราต้องอดทนระหว่างที่รอให้พระยะโฮวาทำให้ความทุกข์หมดไป แต่พอเราหรือคนที่เรารักเจอกับปัญหา ความไม่ยุติธรรม หรือการสูญเสีย เราอาจสงสัยว่าทำไมพระยะโฮวาไม่รีบจัดการสักที (ฮบก. 1:2, 3) ตอนที่เรารู้สึกแบบนั้น เราควรคิดถึงเหตุผลที่ทำไมพระยะโฮวายอมให้คนดีเจอกับความยากลำบากa (สด. 34:19) และเราควรคิดด้วยว่าพระยะโฮวาตั้งใจที่จะทำให้ความทุกข์หมดไปตลอดกาล
10. อะไรช่วยแอนให้รับมือกับการสูญเสียแม่?
10 การรู้เหตุผลที่พระเจ้ายอมให้มีความทุกข์ช่วยให้เราอดทนได้ พี่น้องหญิงที่ชื่อแอนซึ่งอยู่ในเกาะมายอต ในมหาสมุทรอินเดียเล่าว่า “หลายปีก่อนตอนที่แม่ตาย ฉันเสียใจมาก แต่ฉันเตือนตัวเองบ่อย ๆ ให้คิดว่าพระยะโฮวาไม่ใช่ต้นเหตุของความทุกข์ พระองค์อยากกำจัดความทุกข์ทุกอย่างให้หมดไปและปลุกคนที่เรารักให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง การคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับความจริงเหล่านี้ช่วยให้ฉันสงบใจได้อย่างที่ฉันคิดไม่ถึงเลย”
11. การรู้เหตุผลที่พระยะโฮวายอมให้มีความทุกข์ช่วยเรายังไงให้ประกาศต่อ ๆ ไป?
11 การรู้เหตุผลที่พระเจ้ายอมให้มีความทุกข์กระตุ้นเราให้อยากประกาศต่อ ๆ ไป หลังจากที่เปโตรบอกว่าพระยะโฮวาอดทนเพราะพระองค์อยากให้ผู้คนกลับใจและรอดชีวิต เขาบอกต่อไปว่า “พวกคุณต้องคิดให้ดีว่าควรเป็นคนแบบไหน พวกคุณควรประพฤติตัวให้บริสุทธิ์และทำสิ่งที่แสดงว่าคุณเลื่อมใสพระเจ้า” (2 ปต. 3:11) การ “ทำสิ่งที่แสดงว่า . . . เลื่อมใสพระเจ้า” ยังรวมถึงการประกาศด้วย เรารักผู้คนเหมือนที่พระยะโฮวารัก เราอยากให้พวกเขาได้อยู่ในโลกใหม่ พระยะโฮวาอดทนเพราะอยากให้คนในชุมชนของคุณได้มีโอกาสมานมัสการพระองค์ คุณมีสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้เป็นเพื่อนร่วมงานกับพระองค์และได้ช่วยผู้คนมากที่สุดให้เข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์ก่อนที่จุดจบจะมาถึง—1 คร. 3:9
เรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย”
12. การที่เรารู้ว่าเรากำลังอยู่ใน “สมัยสุดท้าย” ทำให้เรามั่นใจในเรื่องอะไร?
12 คัมภีร์ไบเบิลบอกชัดเจนว่าคนใน “สมัยสุดท้าย” จะเป็นยังไง (2 ทธ. 3:1-5) แค่เราเห็นคนรอบ ๆ ตัวเรา มันก็ทำให้เราเห็นแล้วว่าคำพยากรณ์นี้กำลังเกิดขึ้นจริง ยิ่งเราเห็นนิสัยของผู้คนแย่ลงเรื่อย ๆ เราก็ยิ่งมั่นใจว่าคัมภีร์ไบเบิลเชื่อถือได้—2 ทธ. 3:13-15
13. สิ่งที่เราได้เรียนจากตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูในลูกา 12:15-21 ควรทำให้เราถามตัวเองเรื่องอะไร?
13 การรู้ความจริงว่าเราอยู่ในสมัยสุดท้ายทำให้เราสำนึกถึงความเร่งด่วนและจัดลำดับความสำคัญในชีวิตให้ถูกต้อง ให้เรามาดูบทเรียนจากตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูในลูกา 12:15-21 (อ่าน) ทำไมเศรษฐีคนนี้ถึงถูกเรียกว่า “คนไร้ความคิด”? ไม่ใช่เพราะเขาร่ำรวย แต่เพราะเขาจัดลำดับความสำคัญไม่ถูกต้อง เขา “สะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ตัวเอง แต่ไม่ได้ร่ำรวยในสายตาพระเจ้า” ทำไมเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่? เพราะพระเจ้าบอกเศรษฐีว่า “คืนนี้จะมีคนมาเอาชีวิตเจ้า” ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงปลายของสมัยสุดท้ายซึ่งเวลาเหลือน้อยมากแล้ว เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘เป้าหมายของฉันแสดงให้เห็นไหมว่าฉันสำนึกถึงความเร่งด่วนและต้องจัดลำดับความสำคัญในชีวิตให้ถูกต้อง? แล้วฉันสอนลูก ๆ ให้ตั้งเป้าหมายแบบไหน? ฉันกำลังใช้กำลัง เวลา และทรัพย์สินที่มีเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติให้กับตัวเองหรือสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์?’
14. จากประสบการณ์ของมิกิ ทำไมถึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะไม่ลืมว่าเรากำลังอยู่ในสมัยสุดท้าย?
14 เมื่อเราคิดถึงหลักฐานที่แสดงว่าเราอยู่ในสมัยสุดท้าย นี่ก็ช่วยให้เราตัดสินใจว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน การทำอย่างนี้ช่วยพี่น้องหญิงที่ชื่อมิกิด้วย เธอเล่าว่า “หลังจบมัธยมปลาย ฉันอยากทำงานเกี่ยวกับการวิจัยสัตว์ แต่ฉันก็มีเป้าหมายที่จะเป็นไพโอเนียร์ประจำและรับใช้ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่าด้วย เพื่อนฉันที่เป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่แนะนำว่าฉันต้องคิดดี ๆ ว่ามันเป็นไปได้ไหมที่จะทำงานที่อยากทำและทำตามเป้าหมายทางความเชื่อไปด้วย พวกเขาบอกฉันว่าอีกไม่นานโลกชั่วนี้ก็จะถึงจุดจบ แล้วในโลกใหม่ฉันก็จะมีเวลาตลอดไปที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ มากมายเท่าที่ฉันอยากทำ พอคิดแบบนี้ฉันเลยเลือกเรียนคอร์สสั้น ๆ แทน นี่ช่วยให้ฉันหางานที่จะทำให้ฉันเป็นไพโอเนียร์ประจำได้ แล้วหลังจากนั้นฉันก็ได้ย้ายไปที่เอกวาดอร์ซึ่งเป็นที่ที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่า” ตอนนี้มิกิทำงานรับใช้ด้วยกันกับสามีของเธอซึ่งเป็นผู้ดูแลหมวดในประเทศนั้น
15. ตัวอย่างของยากอบช่วยเราให้เห็นยังไงว่าทำไมเราไม่ควรหมดหวังกับคนที่ยังไม่สนใจข่าวดีในตอนแรก? (ดูภาพด้วย)
15 ตอนไปประกาศ เราไม่ควรท้อใจถ้าตอนแรกคนที่เราประกาศด้วยไม่ฟังข่าวดี เพราะคนเราเปลี่ยนกันได้ ลองดูตัวอย่างของยากอบน้องชายของพระเยซู เขาโตมาด้วยกันกับพระเยซูและเห็นท่านเป็นเมสสิยาห์และสอนเก่งมากอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่ยากอบก็ใช้เวลาหลายปีกว่าจะเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซู ที่จริงเขาเข้ามาเป็นสาวกของท่านหลังจากที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากตายแล้ว และพอเข้ามาเป็นสาวก เขาก็กระตือรือร้นมากb (ยน. 7:5; กท. 2:9) ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณจะไม่หมดหวังกับคนในครอบครัวหรือญาติที่ยังไม่สนใจความจริงหรือไม่หมดหวังกับคนที่คุณประกาศด้วยแต่ยังไม่ฟังความจริงในตอนแรก จำไว้ว่าเรากำลังอยู่ในสมัยสุดท้าย งานประกาศของเราเลยเป็นงานที่เร่งด่วนมาก สิ่งที่คุณพูดกับพวกเขาในวันนี้อาจมีผลกับเขาในอนาคต หรืออาจจะมีผลแม้แต่หลังจากความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่เริ่มต้นด้วยซ้ำc
อะไรจะช่วยให้เราไม่หมดหวังกับญาติพี่น้องหรือคนในครอบครัวที่ไม่ได้เป็นพยานฯ? (ดูข้อ 15)e
เห็นค่าความจริงพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลเสมอ
16. คุณได้รับประโยชน์ยังไงจากความจริงพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล? (ดูกรอบ “ใช้เรื่องที่คุณได้เรียนเพื่อช่วยคนอื่น” ด้วย)
16 บางครั้งองค์การของเราเตรียมความรู้บางอย่างที่ออกแบบไว้สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานด้านคัมภีร์ไบเบิล ตัวอย่างเช่น คำบรรยายสาธารณะที่จัดขึ้นทุกอาทิตย์ บทความและวีดีโอบางเรื่องบนเว็บไซต์ jw.org รวมทั้งวารสารฉบับสาธารณะถูกออกแบบมาเพื่อคนที่ไม่ใช่พยานพระยะโฮวา ถึงอย่างนั้น เราก็ยังได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เพราะมันช่วยให้เรารักพระยะโฮวามากขึ้น ทำให้เรามีความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิล และยังช่วยให้เราสอนความจริงพื้นฐานกับคนอื่นได้ดีขึ้นด้วย—สด. 19:7
17. ตอนไหนบ้างที่คุณอาจคิดถึงความจริงพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล?
17 สำหรับเราที่รับใช้พระยะโฮวามานานแล้ว เราตื่นเต้นมากเมื่อมีการอธิบายความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล แต่เราก็ยังเห็นค่าความจริงพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลด้วยเพราะมันทำให้เราได้ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่าอยากจะพึ่งความคิดของตัวเองแทนที่จะยอมรับการชี้นำที่มาจากองค์การ ขอให้เราถ่อมตัวและจำไว้ว่าพระยะโฮวากำลังชี้นำองค์การนี้อยู่ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดและเป็นผู้สร้างที่มีสติปัญญามาก และเมื่อเราหรือคนที่เรารักกำลังเจอความยากลำบาก ขอให้เราอดทนและคิดใคร่ครวญว่าทำไมพระยะโฮวาถึงยอมให้มีความทุกข์ และเมื่อเราต้องตัดสินใจว่าจะใช้เวลาและทรัพย์สินของเราไปกับอะไร ขอให้ไม่ลืมว่าเรากำลังอยู่ในสมัยสุดท้ายและสำนึกถึงความเร่งด่วนของช่วงเวลานี้ ขอให้ความจริงพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลทำให้เราฉลาดขึ้นและช่วยเราให้รับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป
เพลง 95 แสงที่สว่างขึ้นเรื่อย ๆ
a ดูบทความ “เหตุผลที่ความทุกข์ทั้งสิ้นจะยุติลงในไม่ช้า” ในหอสังเกตการณ์ 15 พฤษภาคม 2007 น. 21-25
c ดูบทความ “เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับการพิพากษาของพระยะโฮวาในอนาคต?” ห24.05 19:1-17
d คำอธิบายภาพ ผู้ดูแลคนหนึ่งเสนอความเห็นบางอย่างในการประชุมผู้ดูแล แต่ผู้ดูแลคนอื่นไม่เห็นด้วยกับเขา ต่อมาเมื่อเขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและดูดวงดาว เขาคิดใคร่ครวญว่าพระยะโฮวาผู้สร้างมีอำนาจและมีสติปัญญามากขนาดไหน แล้วเขาก็ยอมรับว่าความคิดของพระยะโฮวาสำคัญกว่าความคิดของเขา
e คำอธิบายภาพ พี่น้องหญิงคนหนึ่งศึกษาส่วนตัวเกี่ยวกับหลักฐานที่ว่าเราอยู่ในสมัยสุดท้าย เธอก็เลยโทรเล่าเรื่องนี้ให้น้องสาวฟัง