ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล
เมื่อความโสดเป็นของประทาน
‘ดิฉันว้าเหว่’ สตรีคริสเตียนที่เป็นม่ายหลายปีมาแล้ว โอดครวญในช่วงสามปีหลังที่เป็นม่าย. ‘ดิฉันหวังตลอดมาว่าจะมีคู่ครอง. การง่วนอยู่กับงานช่วยบรรเทาความเหงาได้บ้าง. การมีเพื่อนก็ช่วยเช่นกัน. แต่ดิฉันอยากแต่งงาน.’
เมื่อคุณปรารถนาอย่างจริงจังที่จะแต่งงานแต่หาคู่ไม่ได้ การอยู่เป็นโสดก็ยากที่จะมองว่าเป็นของประทาน—อาจรู้สึกคล้ายกับคุณถูกพิพากษาให้จองจำอยู่ในคุกแห่งความรู้สึกด้านลบที่ก่อความซึมเศร้าอ่อนล้ามากกว่า. หรือถ้าคุณมีครอบครัวแล้วแต่ตอนนี้อยู่เป็นโสด คุณอาจต้องรับผิดชอบจัดหาทุกสิ่งที่ลูก ๆ ต้องการแต่เพียงผู้เดียว.
ฉะนั้น คุณอาจจะไม่มองความเป็นโสดว่าเป็นของประทาน. แต่คนอื่นบางคนมองความเป็นโสดเสมือนอะไรบางอย่างที่มีค่ามาก และพวกเขาเลือกที่จะอยู่คนเดียว. ดังนั้น ความโสดเป็นของประทานไหม และถ้าเป็นเช่นนั้น ภายใต้สภาพการณ์ใดและทำไม? คัมภีร์ไบเบิลพูดเรื่องนี้อย่างไร?
เครื่องกั้นความสุขหรือ?
การสมรสอาจเป็นแหล่งแห่งความปีติยินดีอันใหญ่หลวง. (สุภาษิต 5:18, 19) บางคน “เชื่อมั่นว่าการเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์เป็นหนทางเดียวที่นำไปสู่ความสุขและความอิ่มใจพอใจ” ลอสแอนเจลิส ไทมส์ ให้ความเห็นไว้. ทะเบียนสมรสเป็น “ตั๋ว” เดียวเท่านั้นไหมที่นำไปสู่ความสุข?
รูท ลูบาน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตกล่าวตามที่ยกมาโดย ลอสแอนเจลิส ไทมส์ ว่า “ผู้หญิง [และผู้ชาย] จะประหลาดใจในข้อที่ว่าพวกเขาอาจพบความอิ่มใจพอใจอย่างมากเมื่อพวกเขาหยุดแช่ชีวิตของตนไว้อย่างนั้นโดยหวังว่าผู้ชาย [หรือผู้หญิง] สักคนจะช่วยเขาให้พ้นจากความเป็นโสด.” ใช่แล้ว ความโสดหาใช่สิ่งกีดขวางชีวิตที่มีความสุขและอิ่มใจพอใจไม่. หลายคนที่หย่าร้างจะเผยว่าการสมรสไม่ใช่หนทางสู่ความสุขโดยอัตโนมัติ. ความสุขแท้เป็นผลมาจากสัมพันธภาพอันดีกับพระเจ้า. ดังนั้น คริสเตียนสามารถมีความสุขได้ไม่ว่าเป็นโสดหรือสมรส.—บทเพลงสรรเสริญ 84:12; 119:1, 2.
นอกจากอุปสรรคที่ก่อขึ้นด้วยตนเองแล้ว ในหนังสือของเขาชื่อข้อท้าทายของการอยู่เป็นโสด (ภาษาอังกฤษ) แมรี เอ็ดเวิร์ดส์ และเอเลียเนอร์ ฮูเวอร์ ยังได้ชี้ถึงเครื่องกั้นอันทรงพลังอีกอย่างหนึ่งต่อความสุข นั่นคือความกดดันทางสังคม. พวกเขาบอกว่า “ข้อสันนิษฐานมีว่าถ้าคุณไม่แต่งงาน คุณจะต้องเป็นโรคทางอารมณ์อะไรสักอย่างที่ลึกลับอนธการ. . . . คุณต้องผิดปกติแน่ ๆ.”
แม้แต่เพื่อนที่มีเจตนาดีก็อาจเพิ่มความกดดันอย่างใหญ่หลวงโดยไม่รู้ตัวให้กับคนโสดโดยการถามเซ้าซี้ว่า ‘เมื่อไรคุณจะแต่งงาน?’ หรือ ‘เป็นไปได้อย่างไรที่คนรูปหล่ออย่างคุณยังหาภรรยาไม่ได้?’ แม้ว่าคำถามเช่นนี้อาจเป็นการพูดเล่น แต่ถ้อยคำดังกล่าวก็อาจ ‘แทงเหมือนกระบี่’ ยังผลให้รู้สึกเจ็บหรือขายหน้า.—สุภาษิต 12:18.
ของประทานสำหรับแต่ละคน
อัครสาวกเปาโลไม่ได้ครองชีวิตสมรสในช่วงที่ท่านเดินทางเป็นมิชชันนารี. นี้เป็นเพราะท่านต่อต้านการสมรสไหม? ไม่เลย. อัครสาวกเปาโลเป็นโสดเพราะท่านเลือกที่จะคงไว้ซึ่งการไม่สมรสเพื่อ “เห็นแก่กิตติคุณ.”—1 โกรินโธ 7:7; 9:23.
เปาโลมีพลังใจในการระงับตัวไม่สมรส ถึงกระนั้น ท่านตระหนักว่าไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนท่านได้. ท่านกล่าวว่า “ทุกคนได้รับคุณสมบัติ [ของประทาน, ล.ม.] จากพระเจ้าเหมาะกับตัว. คนหนึ่งรับอย่างนี้, และอีกคนหนึ่งรับอย่างนั้น.”—1 โกรินโธ 7:7.
การเป็นโสดอาจกลายเป็นหนทางสู่ความสุข แม้อาจไม่ใช่หนทางที่คุณตั้งใจจะเดิน. แน่นอน การสมรสนับรวมอยู่ในของประทานมากมายที่ได้รับจากพระยะโฮวา. แต่คัมภีร์ไบเบิลชี้ว่าการเป็นโสดอาจเป็น “ของประทาน” ได้ด้วย—ถ้าคุณสามารถ “ทำได้.” (มัดธาย 19:12, ล.ม.; 1 โกรินโธ 7:36-39) แล้วอะไรล่ะคือประโยชน์บางอย่างของการเป็นโสด?
เปาโลกล่าวว่าคู่สมรสก็สาละวนอยู่กับ “ความชอบใจ” ของคู่ของตน ในขณะที่คนไม่สมรสก็สาละวนอยู่กับ “การขององค์พระผู้เป็นเจ้า.” สิ่งนี้ชี้ชัดถึงหนึ่งในประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งการเป็นโสด—โอกาสที่จะรับใช้พระยะโฮวา “โดยไม่วอกแวก [ล.ม.].”—1 โกรินโธ 7:32-35.
คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าวว่าคนโสดจะดำรงชีวิตโดยปราศจากสิ่งที่ทำให้วอกแวกโดยสิ้นเชิง. อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วบุคคลที่อยู่คนเดียวมีสิ่งที่ทำให้วอกแวกน้อยกว่าคนที่ต้องเอาใจใส่ครอบครัว เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ต้องคำนึงถึงเมื่อเขาทำการตัดสินใจ. ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาให้อับราฮามออกจากฮารานไปยังแผ่นดินคะนาอัน คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “อับรามได้พานางซารายภรรยาของตนกับโลตหลานชาย, และทรัพย์สมบัติที่ได้สะสมไว้, ทั้งบรรดาผู้คนที่ได้ในเมืองฮารานนั้น, ออกไปยังแผ่นดินคะนาอัน.” (เยเนซิศ 12:5) แม้ว่าสภาพครอบครัวของอับราฮามไม่ได้ยึดเหนี่ยวท่านไว้ แต่ไม่ต้องสงสัย ท่านคงต้องใช้เวลานานพอควรเพื่อจัดเตรียมครอบครัวสำหรับภารกิจเช่นนี้.
ลองเทียบการย้ายที่ของอับราฮามกับอัครสาวกเปาโล. ขณะประกาศกิตติคุณในเมืองเธซะโลนิเก ฝูงชนที่โกรธแค้นก่อตัวต่อต้านเปาโลและซีลา. คืนเดียวกันนั้น พวกพี่น้องได้ส่งทั้งเปาโลและซีลาไปยังเบรอยะทันที. อีกโอกาสหนึ่ง ขณะอยู่ในเมืองตาระโซ เปาโลได้รับนิมิตให้ ‘ไปยังมากะโดเนียและช่วยพวก [เขา].’ ท่านออกไปยังมากะโดเนียในทันทีที่ได้เห็นนิมิต. ชัดเจนทีเดียว การที่เปาโลไม่มีภรรยาทำให้ท่านมีอิสระมากในการย้ายที่ในเวลาอันสั้น ซึ่งคงจะยากกว่าหากมีครอบครัว.—กิจการ 16:8-10; 17:1-15.
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่การเป็นโสดมีให้ก็คือมีเสรีภาพมากกว่าในการเลือกส่วนตัว. เมื่อคุณอยู่คนเดียว การตัดสินใจว่าจะอยู่ที่ไหน, จะรับประทานอะไรและเมื่อไร, หรือแม้แต่จะเข้านอนเวลาไหนนั้น มักจะง่ายกว่า. เสรีภาพนี้ยังกินความถึงกิจกรรมฝ่ายวิญญาณด้วย. มีเวลามากขึ้นในการศึกษาพระคำของพระเจ้าเป็นส่วนตัว, ร่วมส่วนในงานเผยแพร่ตามบ้าน และฉวยโอกาสต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น.
ดังนั้น ไม่ว่าคุณเป็นโสดเนื่องจากคุณเลือกที่จะเป็นหรือเนื่องจากสภาพการณ์ จงตั้งใจที่จะใช้เวลาของคุณอย่างฉลาด. คุณจะมีชีวิตที่เป็นสุขมากขึ้นเมื่อความโสดของคุณถูกใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น. (กิจการ 20:35) ถ้าคุณปรารถนาจะสมรส อย่าขังตัวคุณเองไว้กับความรู้สึกด้านลบหรือดำเนินชีวิตของคุณราวกับว่าคุณมีเพียงครึ่งตัวเพราะคุณยังไม่พบ ‘เนื้อคู่’ ของคุณ. จงง่วนอยู่กับการรับใช้พระเจ้า และคุณอาจจะพบว่าการอยู่เป็นโสดสามารถเป็นของประทานตามที่เปาโลกล่าว.